การยึดมั่นและไว้วางใจในพระเยซู
โดย ปีเตอร์ อัมสเตอร์ดัม
คืนก่อนที่พระเยซูจะสิ้นชีวิต พระองค์กล่าวกับสาวกถึงความจำเป็นที่จะต้องยึดมั่นในพระองค์ และผลประโยชน์จากการทำเช่นนั้น
เราเป็นเถาองุ่น ท่านเป็นกิ่ง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นจะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้ว ท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย – ยอห์น 15: 5
นอกจากนี้พระองค์บอกว่าพระองค์จะดำเนินชีวิตอยู่ในผู้ที่รักพระองค์ และเชื่อฟังคำสอนของพระองค์
พระบิดาทรงรักเราฉันใด เราก็รักท่านฉันนั้น จึงยึดมั่นในความรักของเรา ถ้าท่านประพฤติตามบัญญัติของเรา ท่านก็จะยึดมั่นอยู่ในความรักของเรา เหมือนดังที่เราประพฤติตามพระบัญญัติของพระบิดาเรา และยึดมั่นอยู่ในความรักของพระองค์ นี้คือสิ่งที่เราได้บอกแก่ท่านแล้ว เพื่อให้ความยินดีของเราดำรงอยู่ในท่าน และให้ความยินดีของท่านเต็มเปี่ยม – ยอห์น 15:9-11
ถ้าผู้ใดรักเรา ผู้นั้นจะประพฤติตามคำของเรา และพระบิดาของเราจะทรงรักเขา แล้วพระบิดากับเราจะมาหาเขา และจะอยู่กับเขา – ยอห์น 14:23
พระเยซูบอกให้ยึดมั่นในพระองค์ ยึดมั่นในความรักของพระองค์ และให้พระคำของพระองค์ยึดมั่นในคุณ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ล้วนนำไปสู่การตั้งมั่นในพระองค์ตลอดเวลา และให้พระคำของพระองค์ฝังอยู่ในใจเรา นี่เน้นย้ำความสำคัญว่าสายสัมพันธ์ที่เรามีกับพระองค์นั้น มีบทบาทในชีวิตเรา ถ้าปราศจากสิ่งนี้ เราจะไม่เกิดผล ถ้าหากมีสิ่งนี้ เราจะไม่เพียงเกิดผล ทว่าเราจะมีความยินดีของพระองค์ในใจเราด้วย
หลักการนี้ คือการ “ยึดมั่นในเรา และเรายึดมั่นในท่าน” คือพื้นฐานชีวิตทางจิตวิญญาณ สายสัมพันธ์ที่เรามีกับพระเจ้า นี่รวมถึงเวลาอ่านพระคำของพระเจ้า ส่วนอื่นๆ ที่ช่วยให้เราเชื่อมสัมพันธ์กับพระองค์ และช่วยให้เรามีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับพระเจ้า นี่คือสายสัมพันธ์และมิตรภาพที่เรามีกับพระเยซู ช่วงเวลาอธิษฐานและสรรเสริญ เวลารับฟังพระองค์
เมื่อเราเชื่อมสายสัมพันธ์กับพระเจ้าด้วยการยึดมั่นในพระองค์ เราก็จะมีสันติสุขมากขึ้น เราจะไว้วางใจในการที่พระองค์ดูแลเอาใจใส่และจัดหาปัจจัยให้ แม้ในยามที่ประสบกับเรื่องยุ่งยากใจ หรือความท้าทายต่างๆ
ผมเป็นคนที่ค่อนข้างวิตกกังวล ผมกังวลเกี่ยวกับอนาคต และลูกหลาน ว่าพวกเขาจะไม่เป็นไร และกังวลว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรบ้าง สิ่งเหล่านี้และอีกหลายๆ อย่าง ทำให้ผมหนักใจ และนอนไม่ค่อยหลับ ผมต้องต่อสู้ เพื่อจะได้ฝากไว้ในหัตถ์ของพระองค์ และมีศรัทธา ดังนั้นเมื่อผมพูดถึงเรื่องนี้ ผมก็เทศน์ให้ตัวเองฟังด้วย
พระเยซูบอกสาวกของพระองค์ว่า ผู้ที่แสวงหาอาณาจักรของพระองค์และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน เขาไม่ควรจะกลัดกลุ้ม ทุกข์ใจ หรือวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ในชีวิตนี้ เขาควรจะไว้วางใจในการดูแลเอาใจใส่ของพระเจ้า การที่พระองค์รับรู้ถึงความจำเป็นของเขา และการที่พระองค์สามารถจัดหาปัจจัยให้ พระองค์แนะนำไม่ให้เขากระสับกระส่ายหรือหวาดกลัว ว่าอาจจะเกิดหรือไม่เกิดอะไรในอนาคต ทว่าให้ดำเนินชีวิตอย่างมีสันติสุขในความคิดจิตใจ โดยรู้ว่าพระเจ้าเป็นผู้ควบคุม พระองค์ตั้งใจให้เราได้รับผลประโยชน์สูงสุด พระองค์รักเรา และจะดูแลเรา นี่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ต้องทำส่วนของเรา เพื่อตอบสนองความจำเป็น แต่หมายความว่าเราไม่ควรจะกลัดกลุ้มและวิตกกังวล นี่เป็นหลักเรื่องการไว้วางใจพระเจ้า และคำสัญญาของพระองค์ เป็นหลักการเรื่องความเข้าใจว่าพระเจ้าสัตย์ซื่อ พระองค์สัญญาอะไรไว้ พระองค์จะทำตามนั้น พระองค์ผู้เป็นพระเจ้าแห่งจักรวาล รักเรา และจะดูแลเรา
เหตุฉะนั้น เราบอกท่านว่า อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่าจะเอาอะไรกินหรือจะเอาอะไรดื่ม และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่าจะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารมิใช่หรือ และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ จงดูนกในอากาศ มันมิได้ห่าน มิได้เกี่ยว มิได้สะสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์เลี้ยงนกไว้ ท่านมิประเสริฐกว่านกหรือ
มีใครในพวกท่าน โดยความกระวนกระวาย อาจต่อชีวิตให้ยาวออกไปอีกสักศอกหนึ่งได้หรือ ท่านกระวนกระวายถึงเครื่องนุ่งห่มทำไม จงพิจารณาดอกไม้ที่ทุ่งนาว่า มันงอกงามเจริญขึ้นได้อย่างไร มันไม่ทำงาน มันไม่ปั่นด้าย และเราบอกท่านว่า ซาโลมอนเมื่อบริบูรณ์ด้วยสง่าราศี ก็มิได้ทรงเครื่องงามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง เหตุฉะนั้น ถ้าพระเจ้าตกแต่งหญ้าในท้องทุ่ง ซึ่งเป็นอยู่วันนี้และรุ่งขึ้นต้องเหี่ยวแห้งไป โอ ผู้มีความเชื่อน้อย พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นหรือ
เหตุฉะนั้น อย่ากระวนกระวายว่าเราจะกินอะไร ดื่มอะไร หรือนุ่งห่มอะไร เพราะว่าพวกต่างชาติแสวงหาเหล่านี้ แต่พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทราบแล้วว่า ท่านต้องการสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ แต่ท่านจงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้แก่ท่าน เหตุฉะนั้น อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้ก็จะมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว – มัทธิว 6: 25-34
พระเยซูบอกว่าเราไม่ควรวิตกกังวลหรือกลัดกลุ้มเกี่ยวกับอาหารการกิน เครื่องนุ่งห่ม หรืออนาคตของเรา นี่ไม่ได้หมายความว่าให้เราขาดความรับผิดชอบ และไม่เคยนึกถึงสิ่งเหล่านี้เลย หรือไม่ควรทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่พระองค์บอกว่าเราไม่ควรกลัดกลุ้มหรือหวาดหวั่น พระเจ้าทราบความจำเป็นของเรา พระองค์สัญญาว่าเมื่อเราจัดลำดับสิ่งที่มีความสำคัญก่อนหลังให้ถูกต้องเหมาะสม โดยแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมก่อน พระองค์จะดูแลเรื่องความจำเป็นของเรา แง่คิดดังกล่าวมีคำอธิบายไว้อย่างดีในเกร็ดย่อยๆ ต่อไปนี้
เรื่องนี้เล่าถึงราชินีอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ ครั้งหนึ่งพระนางมอบหมายให้ขุนนางซึ่งเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยในจักรวรรดิไปทำกิจธุระสำคัญให้กับอาณาจักร โดยสัญญาว่าจะมอบบำเหน็จรางวัลงดงามสำหรับงานรับใช้ พ่อค้าผู้นี้หาทางปฏิเสธงานมอบหมาย โดยมีมูลฐานว่าธุรกิจของเขาจะประสบปัญหา ในระหว่างที่เขาไม่อยู่ ทว่าพระราชินีบอกให้เขาอุ่นใจว่า “ท่านไปจัดการกิจธุระของเรา แล้วเราจะดูแลธุรกิจของท่าน” เมื่อเขากลับมา เขาพบว่าพระราชินีทำตามที่สัญญาไว้ เขาจึงมั่งคั่งมากขึ้น[1]
ในฐานะสาวก เราได้รับมอบหมายให้ทำกิจธุระของพระเจ้า เมื่อเราทำเช่นนั้น พระองค์จะดูแลเรา พระเยซูสอนหลักการนี้แก่สาวกในทางปฏิบัติ เมื่อพระองค์ส่งสาวก 12 คน ไปทำหน้าที่ตามลำพัง และมีอีกครั้งหนึ่งพระองค์ส่งสาวกออกไป 72 คน
พระองค์กำชับเขาไม่ให้เอาอะไรติดตัวไปด้วย เว้นแต่ไม้เท้าอันเดียว ห้ามมิให้เอาย่าม อาหาร หรือสตางค์ใส่ไถ้ไป – มาระโก 6: 8
อย่าหาเหรียญทองคำ หรือเงิน หรือทองแดงใส่ไว้ในไถ้ของท่าน หรือเอาย่ามไปใช้ตามทาง หรือเสื้อคลุมสองตัว หรือรองเท้า หรือไม้เท้า เพราะว่าผู้ทำงานสมควรจะมีอาหารกิน – มัทธิว 10: 9-10
ภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้ พระองค์ตั้งสาวกอื่นอีกเจ็ดสิบสองคน และใช้เขาออกไปทีละสองคน ให้ล่วงหน้าพระองค์ไปก่อน โดยให้เขาไปทุกเมืองและทุกตำบลที่พระองค์จะไป พระองค์กล่าวกับเขาว่า ... ดูเถิด เราใช้ท่านไปดุจลูกแกะท่ามกลางฝูงสุนัขป่า อย่าเอาไถ้เงิน หรือย่าม หรือรองเท้าไปด้วย – ลูกา 10: 1-4
พระเยซูสอนสาวกถึงหลักเรื่องการไว้วางใจพระองค์ สำหรับความจำเป็นของเขา พระองค์ไม่ได้สอนให้ต่อต้านเงิน อันที่จริงแล้ว คืนก่อนที่พระองค์จะสิ้นใจ พระองค์บอกเขาว่าควรเอาเงิน ย่าม แม้แต่ดาบ ติดตัวไปด้วย ทว่าเมื่อพระองค์บอกเขาเช่นนี้ พระองค์เตือนใจเขาว่าพระองค์ยิ่งกว่ามีความสามารถที่จะจัดหาปัจจัยให้เขา
พระองค์จึงถามเหล่าสาวกว่า “เมื่อเราใช้ท่านออกไป โดยไม่มีถุงเงิน ไม่มีย่าม ไม่มีรองเท้านั้น ท่านขัดสนสิ่งใดบ้างหรือ” เขาตอบว่า “หามิได้” พระองค์จึงกล่าวกับเขาว่า “แต่เดี๋ยวนี้ใครมีถุงเงินให้เอาไปด้วย ย่ามก็ให้เอาไปเหมือนกัน และผู้ใดที่ไม่มีดาบ ก็ให้ขายเสื้อคลุมของตนไปซื้อดาบ” – ลูกา 22: 35-36
เมื่อสาวกขอให้พระเยซูสอนเขาอธิษฐาน พระองค์สอนคำอธิษฐานของพระองค์ให้แก่เขา ซึ่งมีข้อความนี้รวมอยู่ด้วย ว่า โปรดประทานอาหารประจำวันให้แก่ข้าในวันนี้ [2] อีกนัยหนึ่งก็คือ เราควรอธิษฐานขอปัจจัยเบื้องต้นในชีวิต แทนที่จะกลัดกลุ้มหรือวิตกกังวล พระเยซูต้องการให้เรามีสันติสุขในใจ และไว้วางใจพระองค์ โดยรู้ว่าพระองค์บันดาลให้คลื่นลมแห่งความกังวลของเราสงบลงได้ เราควรจะไว้วางใจให้พระองค์จัดหาปัจจัยที่จำเป็น
พระเจ้าไม่ต้องการให้เรากลัดกลุ้ม วิตกกังวล หรือหงุดหงิด แต่ให้ไว้วางใจว่า เมื่อเราทำตามความประสงค์ของพระองค์ ยึดมั่นในพระองค์ และถือว่าพระองค์มีความสำคัญเป็นอันดับแรกในชีวิต เมื่อเราทำตามที่พระองค์ชี้นำเราเป็นส่วนตัว พระองค์จะดูแลเรา พระองค์จะมอบสันติสุขในความคิดจิตใจและวิญญาณของเรา
จัดพิมพ์ครั้งแรก เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2011 ปรับเปลี่ยนและจัดพิมพ์ใหม่ เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2015