ถูกบีบคั้นจนถึงที่สุด
โดย มาเรีย ฟอนเทน
คงมีช่วงเวลาที่คุณรู้สึกเหมือนถูกบีบคั้นจนถึงที่สุด คุณไม่มีพละกำลังและแรงใจหลงเหลืออยู่เลย คุณ“หมดหวังที่จะมีชีวิต” เหมือนกับเปาโล จนถึงขั้นที่ว่าคุณไม่อยากตื่นนอนตอนเช้า เพราะคุณไม่ต้องการเผชิญหน้ากับอีกวันหนึ่ง! ฉันแน่ใจว่าเราทุกคนเคยเจอสภาพที่ย่ำแย่แบบนั้น ไม่คราวใดก็คราวหนึ่ง บางทีคุณอาจอะไรทำนองนั้นในขณะนี้ และต้องประสบกับสภาพดังกล่าวมาเป็นเวลานาน คุณปลอบใจตัวเองได้ บางครั้งก็มีส่วนช่วยได้ที่จะคิดถึงการที่เปาโลและชายหญิงคนอื่นๆ ของพระเจ้าหลายคน ก็ประสบเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกัน
แต่นี่คือส่วนที่สำคัญ ทั้งๆ ที่เปาโลทุกข์ร้อนใจและมีปัญหายุ่งยาก ทั้งในด้านการข่มเหงรังแกจากภายนอก และความสิ้นหวัง ความท้อแท้ ความสงสัยในใจ แต่เขายังคงยึดมั่นไว้ โดยประกาศว่า “ไม่มีสิ่งใดทำให้ข้าพเจ้าหวั่นไหว แต่ข้าพเจ้ามิได้ถือว่าชีวิตของตนมีค่าและประเสริฐต่อตนเอง แต่ขอทำหน้าที่ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยความยินดี และทำการงานที่ได้รับมอบหมายจากพระเยซูเจ้า เพื่อเป็นพยานถึงข่าวประเสริฐเรื่องความปรานีของพระเจ้า”[1]
นั่นเป็นข้อความเหมาะมากที่ควรจดจำไว้ “ไม่มีสิ่งใดทำให้ข้าพเจ้าหวั่นไหว!” อีกนัยหนึ่งก็คือ “ฉันจะยึดมั่นต่อไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม! ฉันจะไม่ปล่อยให้มาขัดขวางจากการงานสูงส่งที่พระองค์มอบหมายแก่ฉัน!” ความตั้งใจแน่วแน่เช่นนั้นแหละที่ช่วยให้เปาโลมุ่งหน้าต่อไป ถึงแม้เขาจะ“ยุ่งยากใจ” เขาก็ยัง “ไม่สิ้นหวัง”[2]
“ขอให้ท่านมีใจมั่นคงแน่วแน่ อย่าหวั่นไหว ขอให้ฝักใฝ่ใจในงานของพระองค์ทุกเวลา พึงรู้ว่าโดยพระองค์ แรงงานของท่านจะไร้ประโยชน์ก็หามิได้”[3] คุณจะไม่หวั่นไหวได้อย่างไร ก็ด้วยการยึดมั่นอยู่กับพระเยซูผู้เป็นดุจศิลา![4] สิ่งอื่นๆ ทุกอย่างไม่มั่นคงแน่วแน่ และถูกพัดพาไปด้วยคลื่นชีวิตที่ซัดซาด เพียงสิ่งเดียวที่จะเคียงข้างอยู่เสมอ และไม่ผันแปรไป คือพระเยซู! ดังนั้นถ้าคุณต้องการ“มีใจมั่นคงแน่วแน่และไม่หวั่นไหว”ต่อไป ทางเดียวก็คือยึดมั่นอยู่กับพระองค์! ถ้าคุณทำเช่นนั้น แรงงานที่คุณทุ่มเทไปก็จะไม่ไร้ผล ดังที่ข้อพระคัมภีร์สัญญาไว้
อย่ากังวลถ้าคุณไม่แข็งแกร่งมากพอที่จะยึดมั่นไว้ เพราะคุณไม่ต้องเป็นคนที่แข็งแกร่ง! พละกำลังของคุณจะมาจากพระองค์![5] คุณเพียงแต่คล้อยตามความประสงค์ของพระองค์ และต้องการยึดมั่นไว้ แล้วพระองค์จะมอบพละกำลังให้คุณยึดมั่น ถึงแม้คุณไม่คิดว่าคุณทำไหวอีกต่อไป
แต่คุณก็ต้องมุ่งมั่นด้วยความตั้งใจแน่วแน่ว่าจะติดตามพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร! เหมือนที่อิสยาห์กล่าวว่า “เพราะว่าพระเจ้าจะช่วยข้าพเจ้า เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงไม่สับสน ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงเชิดหน้าด้วยความอาจหาญ และทราบว่าข้าพเจ้าจะไม่ต้องละอายใจ”[6] เขาคงต้องประสบช่วงเวลายากลำบากมากทีเดียว แต่เขาตั้งใจแน่วแน่ที่จะยึดมั่นอยู่กับพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม ถ้าคุณทำเช่นเดียวกัน คุณก็จะไม่ต้องละอายใจด้วย
เหตุใดถึงมีปัญหา
เมื่อชีวิตคุณต้องพบกับเรื่องหนักอกหนักใจกับปัญหา ก็เป็นธรรมดาที่จะนึกสงสัยว่าเพราะเหตุใด เหตุผลหนึ่งที่เกิดปัญหาก็คือ ชีวิตเป็นการดิ้นรนต่อสู้อยู่เสมอ ไม่ว่าคุณจะอยู่แห่งหนใด เป็นใคร ทำงานอะไร การมีชีวิตอยู่บนโลกในฐานะที่เป็นมนุษย์ ต้องประสบกับปัญหานานัปการ ก็แค่นั้นแหละ เชื่อหรือไม่ล่ะ นั่นเป็นแผนการของพระเจ้า ไม่ใช่ว่าบางอย่างผิดไป ทั้งโลกผิดไป หรือพระเจ้าคิดผิด นั่นเป็นแผนของพระองค์! บททดสอบ เรื่องทุกข์ร้อนใจ การดิ้นรนต่อสู้ และความยากลำบาก ล้วนแล้วเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต นั่นจึงเป็นเหตุผลหลักประการหนึ่งที่เรามีปัญหา และจะมีปัญหาอยู่เสมอ
บางครั้งพระองค์ให้เกิดปัญหาเพราะเป็นช่วงเวลาการทดสอบทางวิญญาณ เพื่อดูว่าเรามีคุณสมบัติเหมาะที่จะดำเนินงานต่อไป และผ่านไปอีกขั้นหนึ่งหรือไม่
พระเยซูกล่าวไว้ในคำพยากรณ์ว่า “เรามองดูเจ้าผู้ซึ่งต้องข้ามแม่น้ำจอร์แดน ด้วยความเห็นใจยิ่งนัก แม่น้ำจอร์แดนแห่งโรคภัยไข้เจ็บ แม่น้ำจอร์แดนแห่งการละเลิก แม่น้ำจอร์แดนแห่งความท้อแท้ใจ แม่น้ำจอร์แดนแห่งความพ่ายแพ้ เพราะเราเข้าใจว่าแม่น้ำจอร์แดนนั้นแสนลึก เราเข้าใจในยามที่มนุษย์ทุกข์ร้อนใจ สิ้นหวัง ท้อแท้ และหมดหนทาง จิตใจของเราแตกสลายเพื่อเจ้า เมื่อเห็นเจ้าปวดร้าวและดิ้นรนต่อสู้ ต้องทุกข์ร้อนใจจากการทดสอบ และผ่านการชำระล้างให้บริสุทธิ์ เมื่อเจ้ารู้สึกสิ้นหวัง หลงทาง และถูกทอดทิ้ง เมื่อเจ้าไขว่คว้าอย่างสุดกำลัง ขณะที่รู้สึกว่าไม่มีอะไรให้ไขว่คว้าอีกแล้ว ตอนนี้เราขอบอกเจ้าว่า ก้าวลงไปในน้ำ และเดินลุยน้ำลึก แต่ขอให้รู้ว่าเราสถิตอยู่ด้วย และเราจะโอบอุ้มเจ้าให้ผ่านพ้นไปได้ ถ้าศรัทธาของเจ้าไม่เสื่อมคลาย”
คุณไม่คาดหมายว่าจะผ่านไปได้ง่ายๆ อะไรที่สำคัญหรือมีค่าต้องมีค่าแลกเปลี่ยนบางอย่าง พระองค์ทราบเมื่อคุณรู้สึกจนตรอก และคุณนึกสงสัยว่า “ฉันจะไปต่อได้ ฉันรู้สึกว่าหมดสิ้นแล้ว ฉันรู้สึกว่างเปล่า หมดเรี่ยวแรง หมดความอดทนและความรัก ฉันจะก้าวต่อไปได้อย่างไร”
คุณรู้สึกเช่นนั้นหรือเปล่า ฉันเสียใจเหลือเกินที่คุณรู้สึกเช่นนั้น ฉันเห็นใจคุณ แต่อย่างน้อยฉันหวังว่าจะเป็นกำลังใจที่คุณรู้ว่าไม่ใช่คุณคนเดียวที่ประสบกับความท้อแท้ใจเช่นนั้น เราต่างก็ประสบช่วงเวลาดังกล่าวในชีวิต ฉันหวังว่าจะช่วยยกชูจิตใจคุณที่ได้รู้ว่าพระองค์เข้าใจสิ่งที่คุณประสบ
บางครั้งเราอดไม่ได้ที่จะคิดว่า “เราจะจัดการเรื่องนี้ได้อย่างไร นี่หนักหนาเหลือเกิน!” แต่เราอุ่นใจได้ โดยรู้ว่าพระองค์ให้เป็นเช่นนี้ นี่คือส่วนหนึ่งในแผนการของพระองค์ บางครั้งพระองค์ให้เราเห็นภูเขาสูงใหญ่เบื้องหน้า เราจะได้รู้สึกหมดหนทาง และกล่าวว่า “พระองค์ นี่เป็นไปไม่ได้! เรารู้ว่าเราทำไม่ได้ โปรดทำผ่านเราด้วยเถิด”
ถ้าปัญหาเล็กลง เราคงคิดว่าเราอาจรับมือไหว แล้วเราคงอดใจไม่ได้ที่จะพยายามทำด้วยพละกำลังของตนเอง เราทุกคนเป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ นี่เป็นวิสัยของมนุษย์! แต่ถ้าหากยากลำบากและใหญ่โตเหลือเกิน เราก็จะคิดว่า “ดูสิ ฉันเริ่มงานนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ ฉันตั้งต้นไม่ได้เลย! นี่เป็นไปไม่ได้!” เมื่อนั้นแหละเราก็จะฝากทุกอย่างไว้ให้พระองค์ช่วยจัดการดูแลอย่างแท้จริง!
ใกล้ชิดเสมอ
ไม่ว่าเราจะรู้สึกเช่นไร ถ้าหากเรารักพระองค์ เราก้าวไปด้วยศรัทธา และเชื่อฟังพระคำของพระองค์ เราก็จะทราบว่าสัมพันธภาพที่มีกับพระองค์นั้นแน่นแฟ้น เราจะทราบว่าความรักที่พระองค์มีต่อเรานั้นไม่เปลี่ยนแปลงและไม่หวั่นไหว พระองค์กล่าวว่า “เรารักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์ แม้ภูเขาจะถล่มทลาย และเนินเขาจะสั่นคลอน แต่ความกรุณาของเราจะไม่พรากไปจากเจ้า เราจะไม่ละทิ้งหรือจากเจ้าไปเลย”[7]
ดังนั้นคุณทราบได้อย่างไรว่าคุณใกล้ชิดพระองค์ คุณทราบโดยพระคำที่กล่าวว่าถ้าคุณ “ใกล้ชิดพระองค์” โดยยอมจำนนและเชื่อฟังพระองค์ “พระองค์จะใกล้ชิดกับท่าน!”[8] ถึงแม้ว่าคุณไม่รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ หรือไม่รู้สึกใกล้ชิดแต่อย่างใด แต่คุณก็ทราบได้ว่าคุณใกล้ชิดกับพระองค์ ถ้าคุณทำดีที่สุดที่จะรักพระองค์ ทำให้พระองค์พอใจ เชื่อฟังพระคำ และทำสิ่งที่ทราบว่าพระองค์ขอให้ทำ
อันที่จริงแล้ว บางคนคงจะใกล้ชิดพระองค์มากที่สุด เมื่อเขารู้สึกว่าห่างไกลพระองค์ที่สุด ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราต้องถ่อมตนเพราะความผิดพลาด ข้อบกพร่อง และบาปของเราเอง เราก็มักจะไม่รู้สึกว่ามีบันดาลใจหรือใกล้ชิดพระองค์มากนัก แต่ที่จริงแล้วเราคงจะใกล้ชิดพระเยซูมากทีเดียวในช่วงเวลาเช่นนี้
คุณใกล้ชิดกับพระเยซู ถ้าคุณทำตามความประสงค์ของพระองค์ และทำตามที่พระองค์ขออย่างสุดความสามารถ เมื่อนั้นคุณก็ทราบว่าคุณใกล้ชิดกับพระเยซู ซึ่งดีกว่าแค่รู้สึกใกล้ชิดกับพระองค์อีกเยอะทีเดียว
เราใกล้ชิดผู้ที่มีจิตใจแตกสลาย และมอบความปรานีให้แก่ผู้ที่ถ่อมตน นี่หมายความว่าเรามอบความใกล้ชิดเป็นพิเศษให้แก่ผู้ที่ถ่อมตนและหมายพึ่งเราสุดจิตสุดใจ ความถ่อมตนและการหมายพึ่งสุดจิตสุดใจเช่นนี้ บ่อยครั้งเกิดขึ้นกับผู้ที่ตกต่ำถึงก้นบึ้ง และยึดเหนี่ยวสิ่งเดียวในชีวิต คือ ความรักที่เขามีต่อเรา ความปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตในวิญญาณ และมีส่วนในเราอย่างเต็มที่ นี่คือของขวัญพิเศษที่เรามอบให้เขา ดุจน้ำผึ้งที่พรั่งพรูออกมา ก็ต่อเมื่อผ่านการบีบคั้น — พระเยซูกล่าวในคำพยากรณ์
*
เรารักเจ้า! เรารู้ว่าเรากล่าวเช่นนี้หลายครั้งหลายหนแล้ว ถึงกระนั้นธรรมชาติของมนุษย์ก็คือ เจ้ารู้สึกว่าเจ้าต้องพยายามทำอะไรสักอย่างเพื่อแลกกับความรักจากเรา แต่เราต้องการเจ้าเท่านั้น เจ้านั่นแหละ! เมื่อเจ้ามอบทั้งหมดให้เรา ทีละวัน เราจะช่วยให้เจ้าใกล้เป้าหมายเข้าไปอีกหน่อย ในแต่ละวัน เจ้าจะไปถึงจุดหมายในเวลาที่เราเห็นสมควร เมื่อเรากล่าวว่า “ในเวลาที่เราเห็นสมควร” เจ้าต้องระลึกไว้ว่าหนทางของเราสูงกว่าหนทางของเจ้า ความนึกคิดของเราสูงกว่าความนึกคิดของเจ้า เจ้าจะไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางในเวลาของเจ้า แต่นั่นก็ดี และเป็นแง่บวก เพราะหมายความว่าเจ้าจะไปถึงในเวลาของเรา คือเวลาที่มีความหมายจริงๆ — พระเยซูกล่าวในคำพยากรณ์
จัดพิมพ์บนจุดยึดเหนี่ยว เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2014