Heaven, Hell, and In Between

กุมภาพันธ์ 26, 2018

โดย เดวิด บรานท์ เบิร์ก

 

[สวรรค์ นรก และดินแดนระหว่างสวรรค์กับนรก!]

ในฐานะที่เป็นคริสเตียน เราทราบว่าเราไม่ได้รับความรอดจากการทำคุณความดี และความชอบธรรมของเราเอง แต่ด้วยความรักและความเมตตาจากพระเจ้า พระองค์ส่งพระบุตรคือพระเยซูคริสต์ ลงมาตายบนไม้กางเขน ยอมทนทุกข์ทรมานเพื่อไถ่บาปให้เรา ถ้าเราเชื่อพระเยซู และรับพระองค์ไว้ในใจ เราจะได้รับการให้อภัย ดังข้อความในยอห์น 3:36 ที่สัญญาว่า "ผู้ที่เชื่อในพระบุตรของพระเจ้ามี(ตอนนี้ได้ครอบครอง)ชีวิตนิรันดร์"

ส่วนผู้ที่จงใจปฏิเสธข่าวดีเรื่องความรักของพระเจ้า พระเยซูกล่าวว่า "ผู้ใดที่ไม่ยอมรับเรา และไม่รับคำของเรา ผู้นั้นมีสิ่งหนึ่งที่จะตัดสินโทษเขา คือพระคำที่เรากล่าวไว้นั่นแหละ จะพิพากษาเขาในวาระสุดท้าย!"[1]  แต่คำถามที่รบกวนใจคริสเตียนและผู้ที่ศึกษาพระคำของพระเจ้าอย่างจริงใจจำนวนมากมาย จากหลายยุคหลายสมัย คือ

"แล้วคนที่ไม่เคยได้ยินพระกิตติคุณล่ะ คนที่ไม่เคยได้ยินแม้แต่ชื่อของพระเยซูเล่า พระเจ้าแห่งความรักจะส่งพวกเขาไปทนทรมานชั่วกัปชั่วกัลป์ในบึงไฟและบึงกำมะถันได้อย่างไร ในเมื่อเขาไม่เคยมีโอกาสได้ยินพระกิตติคุณ หรือรู้วิธีรับความรอดด้วยซ้ำ"

"และผู้คนหลายต่อหลายล้านคน ซึ่งนับถือศาสนาต่างๆที่มีความชอบธรรมพอสมควร และพยายามทำดีที่สุดเท่าที่เขารู้ ด้วยการใช้ชีวิตตามความเชื่อใดที่ยึดถือล่ะ พระเจ้าจะส่งพวกเขาไปลงนรกหรือ เพียงเพราะไม่มีใครเคยประกาศพระกิตติคุณให้เขารับรู้ และแสดงความรักของพระเจ้าให้เขาเห็น เพื่อเขาจะได้อยากรับความรอด เขาจะถูกส่งไปทนทรมานชั่วกัปชั่วกัลป์ในไฟนรกหรือ แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่อ่อนหวานและมีใจกรุณา พยายามทำสุดความสามารถที่จะนมัสการและทำให้พระเจ้าพอใจ ถึงแม้เขาจะไม่เคยรู้จักพระองค์ หรือรู้พระคำและความจริงของพระองค์อย่างถ่องแท้ "

จากการที่ได้ศึกษาข้อพระคัมภีร์โดยละเอียด ตัวผมเองมั่นใจว่าพระเจ้าได้เตรียมการอย่างอื่นไว้ให้แก่ผู้ไม่มีความรอดที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไม่เคยมีใครประกาศข่าวสารให้ฟัง และไม่เคยได้ยินพระกิตติคุณเรื่องพระเยซูคริสต์ พระเจ้าจะมีเมตตาต่อเขา และให้โอกาสเขา! ถ้าเขาไม่เคยมีโอกาสได้ยินได้ฟัง และเชื่อพระกิตติคุณในชีวิตนี้ เมื่อนั้นพระองค์ก็จะให้เขามีโอกาสครั้งแรกในชีวิตหน้าจนได้ คุณอาจถามว่า "แต่เขาจะเชื่อพระกิตติคุณในนรกได้อย่างไรกัน"

คุณคงจะประหลาดใจที่ได้ทราบว่า จากจำนวน 22 ครั้งที่คำว่า "นรก" ถูกกล่าวถึงไว้ในพระคัมภีร์ใหม่ มีเพียง 11 ครั้ง ที่เป็นคำมาจากภาษากรีกดั้งเดิม"Gehenna" หมายถึงบึงไฟ ส่วนอีก 11 ครั้ง เป็นคำที่มาจากภาษาดั้งเดิม คือ "Hades" ซึ่งแปลตรงตัวว่า "สภาวะที่มองไม่เห็น" หรือ "โลกที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า"

"เพราะกำหนดไว้แล้วว่าจะมนุษย์ต้องตายหนหนึ่ง หลังจากนั้นจะถูกพิพากษา"[2] แต่การพิพากษาดังกล่าวจะเกิดขึ้นเมื่อไร วิวรณ์ 20:5,11-15 บ่งไว้อย่างชัดเจนว่าคนตายที่ไม่ได้รับความรอด จะไม่ฟื้นขึ้นมาและถูกตัดสิน จนกว่าจะถึงตอนปลายยุคมิลเลเนี่ยม ซึ่งกินเวลา 1,000 ปี! ดังนั้นคนตายที่ไม่ได้รับความรอดจะไปรออยู่ที่ไหน จนกว่าจะถึงเวลานั้น  วิวรณ์ 20:13 ให้คำตอบว่า "ฝ่ายทะเลก็คืนคนตายที่อยู่ในทะเลนั้น ความตายและเมืองผี (Hades) กักคนตายไว้มากเท่าใด ก็คืนให้เท่านั้น และคนตายจะถูกพิพากษาตามการกระทำของเขาทุกคน" ดังนั้นเมืองผี (Hades) คือสถานที่รอคอย ซึ่งวิญญาณของผู้ล่วงลับไปแล้วที่ไม่มีความรอด จะรอคอยการตัดสิน และถูกส่งไปยังจุดหมายปลายทางสุดท้าย นี่จะไม่เกิดขึ้นจนกว่าจะถึง "การพิพากษาหน้าบัลลังก์ใหญ่สีขาว" ตอนปลายยุคมิลเลเนี่ยม

คำถามอันดับต่อไปคือ ถ้าผู้ที่ไม่เคยได้ยินพระกิตติคุณรอการตัดสินขั้นสุดท้ายอยู่ในโลกวิญญาณ เขาจะเชื่อพระเยซูที่นั่นได้ไหม หลังจากที่เขาตายแล้ว เขาจะรับการให้อภัยบาปจากพระองค์ รับความรอด และถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระได้หรือเปล่า ถ้าจะมีใครเชื่อ ก็คงเป็นตอนที่เขาฟื้นขึ้นมาในโลกหน้า แล้วพบว่าตัวเขาผิดไปถนัด และพบว่าพระเยซูคือความจริง! เมื่อนั้นเขาก็จะเชื่อแน่ๆ ถ้าเพียงแต่มีใครบอกเขา! แต่บางคนยืนกรานว่าเมื่อคนบาปผู้หลงผิดอย่างน่าสงสารตายไปแล้ว "โอกาสที่จะได้รับความปรานี"ก็สิ้นสุดลง เขาจะเชื่อความจริงและรับความรอดไม่ได้อีกต่อไป! ถึงแม้ว่าเขาจะต้องการ!

แต่ถ้าเป็นเช่นนี้จริง แล้วทำไมพระเยซูถึงใช้เวลาสามวันสามคืน "ประกาศข่าวสารแก่วิญญาณที่ถูกคุมขัง"อยู่ในใจกลางโลก ระหว่างที่พระองค์ถูกตรึงบนไม้กางเขน กับตอนที่ฟื้นคืนชีพ ถ้าหากหมดหวังแล้วที่เขาจะได้รับความรอด 1 เปโตร 3:18-20 กล่าวว่า"พระคริสต์ต้องทนทุกข์ทรมานเพราะบาปของเรา พระองค์ผู้ชอบธรรมเพื่อผู้ที่ไม่ชอบธรรม เพื่อจะได้นำพวกเราไปหาพระเจ้า พระองค์จึงไปประกาศแก่วิญญาณที่ถูกคุมขังด้วย ซึ่งแต่ก่อนเป็นพวกที่ไม่เชื่อฟัง ตั้งแต่สมัยที่พระเจ้ารอคอยอย่างอดทนในสมัยโนอา"

แล้ว 1 เปโตร 4:5-6 กล่าวต่อไปว่า "พระเจ้าพร้อมที่จะพิพากษาตัดสินคนที่ยังมีชีวิตอยู่ และคนที่ตายไปแล้ว เหตุฉะนั้น จึงได้ประกาศพระกิตติคุณแก่คนที่ตายแล้วด้วย เพื่อเขาจะได้ถูกพิพากษาเยี่ยงมนุษย์(ที่ยังมีชีวิต)ในเนื้อหนัง แต่ใช้ชีวิตตามความประสงค์ของพระเจ้าในวิญญาณ!" พระเยซูใช้เวลาถึงสามวันในใจกลางโลก ที่ซึ่งวิญญาณของคนไม่เชื่อฟังผู้ล่วงลับไปแล้ว แต่ไม่มีความรอด ถูกคุมขังอยู่ และพระองค์"ประกาศพระกิตติคุณแก่พวกเขา" "พระกิตติคุณ" หมายถึง "ข่าวประเสริฐ" เป็นข่าวดีเรื่องความรอด!

ถ้าคนตายผู้ล่วงลับไปแล้ว ไม่มีทางเชื่อและได้รับความรอด ทำไมพระบุตรของพระเจ้าจึงลงไปประกาศข่าวสารให้เขาฟัง ทำไมพระองค์จึงประกาศพระกิตติคุณแก่เขา และบอกถึงวิธีรับความรอด หากเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะกลับตัวกลับใจ รู้สึกเสียใจต่อบาปที่เขาก่อ รับการให้อภัย รับความรอด และหลุดพ้นจากที่คุมขัง

ทำไมพระองค์จึงประกาศพระกิตติคุณแก่เขา เพียงเพื่อเป็นข้อมูลให้เขาพากันเศร้าสลดใจมากขึ้น ชั่วนิจนิรันดร์ ในที่คุมขังทางจิตวิญญาณ ซึ่งเขาจะถูกกักกันตลอดไปอย่างนั้นหรือ ตามที่กล่าวไว้ในข้อพระคัมภีร์ คือพระคำของพระเจ้า พระเยซูประกาศพระกิตติคุณแก่พวกเขา ผู้คนนับล้านซึ่งมีชีวิตอยู่ก่อนที่พระเยซูจะลงมาเกิดบนโลก และไม่เคยรู้วิธีรับความรอด ทั้งยังไม่เคยมีโอกาสได้ยินพระกิตติคุณจากพระเยซูเอง! ส่วนตัวแล้วผมเชื่อมั่นว่า ถ้าเขายอมรับและเชื่อ เขาจะได้รับการให้อภัยต่อบาปที่เขาก่อ และได้รับการปลดปล่อยจากที่คุมขัง

พระคำของพระเจ้าบ่งไว้ว่า เขาจะมีโอกาสได้รับความจริง ไปจนถึงการพิพากษาหน้าบัลลังก์ใหญ่สีขาวครั้งสุดท้าย สำหรับผู้ที่ไม่มีความรอด ดังที่วิวรณ์ 20:12,15 กล่าวว่า"ข้าพเจ้าเห็นผู้คนที่ตายแล้ว ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย ยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า หนังสือทั้งหลายก็เปิดออก มีหนังสืออีกเล่มหนึ่งถูกเปิด คือสมุดทะเบียนประจำชีพ ถ้าผู้ใดไม่มีชื่อจดไว้ในสมุดทะเบียนประจำชีพ ผู้นั้นจะถูกโยนลงบึงไฟ" (ขอให้ระลึกไว้ว่าการพิพากษาหน้าบัลลังก์ใหญ่สีขาว มีไว้สำหรับผู้ที่ไม่ได้รับความรอดในชีวิตนี้เท่านั้น ส่วนผู้ที่รับพระเยซูในชีวิตนี้ จะถูกรับตัวขึ้นไปสู่สวรรค์แล้ว เมื่อพระคริสต์กลับมาครั้งที่สอง 1,000 ปี ก่อนการพิพากษาครั้งสุดท้ายดังกล่าว) 

ในพระคัมภีร์บอกว่าถ้าไม่มีชื่ออยู่ในสมุดทะเบียนประจำชีพ เขาจะต้องลงนรก ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าบางคนมีชื่ออยู่ในสมุดทะเบียนประจำชีพ เมื่อถึงการพิพากษาครั้งสุดท้าย ถ้าในสมุดทะเบียนประจำชีพไม่มีชื่อใครเลย ทำไมถึงต้องนำออกมาในตอนนี้ด้วยล่ะ ทำไมไม่ให้พวกเขาตกนรกหมกไหม้ไปหมดเลย

เห็นได้ชัดว่ามีคนสองกลุ่มที่ฟื้นขึ้นมารับการพิพากษาครั้งสุดท้าย คือ ผู้ที่มีชื่ออยู่ในสมุดทะเบียนประจำชีพ และผู้ที่ไม่มีชื่ออยู่ในนั้น ผู้ที่มีชื่ออยู่ในสมุดทะเบียนประจำชีพคงต้องเป็นคนที่ตายไปโดยไม่ได้รับความรอด แต่สำนึกผิดต่อบาปที่เขาก่อ และหันมาเชื่อพระองค์ในโลกวิญญาณ แน่นอนว่าคนชั่วช้าสามานย์ที่ไม่มีความตั้งใจว่าจะสำนึกผิด และรับความจริง จะต้องตกนรก ส่วนผู้ที่พบว่ามีชื่ออยู่ในสมุดทะเบียนประจำชีพ เมื่อถึงการพิพากษาหน้าบัลลังก์ใหญ่สีขาวล่ะ พวกเขาไปไหน

ในหนังสือวิวรณ์บทที่ 21 และ 22 บอกว่า เฉพาะผู้มีความรอดที่เชื่อในพระเยซูด้วยศรัทธา จะได้อาศัยอยู่ภายในกรุงเยรูซาเล็มใหม่ ซึ่งเป็นเมืองสวรรค์ชั่วนิจนิรันดร์ของผู้ได้รับพร แต่ก็บอกไว้ว่าจะมีผู้คนอาศัยอยู่ภายนอกเมืองด้วย บนโลกใหม่ที่สวยสดงดงาม! ในพระคัมภีร์กล่าวว่า "กษัตริย์บนแผ่นดินโลกจะนำสง่าราศีของตนมาถวายในเมืองนั้น(เมืองสวรรค์)"[3] "กษัตริย์ในแผ่นดินโลก"พวกนี้เป็นใครกัน ถ้าหาก เมืองสวรรค์จะมีแต่ผู้ที่ได้รับความรอดในชีวิตนี้ ซึ่งจะได้ชื่นชมเมืองสวรรค์ หรือผู้ที่ไม่ได้รับความรอดในชีวิตนี้ ซึ่งจะถูกสาปส่งให้ตกนรก

วิวรณ์ 22:2 กล่าวว่าในเมืองสวรรค์จะมี "ต้นไม้แห่งชีวิต ... และใบจากต้นไม้แห่งชีวิตเพื่อเยียวยารักษาชนชาติต่างๆ" ชนชาติไหนกันต้องได้รับการรักษา ผู้ที่ได้รับความรอดซึ่งฟื้นคืนชีพขึ้นมาในร่างอมตะ ไม่มีผู้ใดต้องได้รับการรักษา เพราะในวิวรณ์ 21:4 สัญญาไว้ว่าสำหรับเราแล้ว "จะไม่มีความเจ็บปวด ความตาย ความเจ็บไข้ได้ป่วย ความเศร้าโศก หรือการร้องไห้เสียใจอีกต่อไป" ดังนั้นชนชาติที่ต้องได้รับการรักษาพวกนี้เป็นใครกัน 

เห็นได้ชัดว่ากล่าวถึงกษัตริย์และชนชาติต่างๆ นอกเมืองสวรรค์ เป็นผู้คนระดับหนึ่งซึ่งไม่เลวพอที่จะตกนรกหมกไหม้ เขายังไม่ได้บังเกิดใหม่ และไม่ได้เป็นเจ้าสาวผู้มีความเชื่อของพระคริสต์ ไม่ได้เป็นผู้ที่มีสิทธิ์เข้าไปชื่นชมในเมืองสวรรค์! ปรากฏว่า "กษัตริย์" และ "ชนชาติต่างๆ" คือผู้ที่ยังไม่ได้รับพระเยซู และรับความรอดซึ่งเป็นของขวัญฟรีจากพระองค์ แต่พระเจ้าช่วยเขาไว้จากนรกด้วยความเมตตา โดยให้โอกาสเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับพระองค์ และความรักของพระองค์ บนโลกใหม่ที่สวยงาม

แม้แต่นอกเมืองสวรรค์ก็จะเป็นแดนสุขาวดีจริงๆ ราวกับสวนเอเดน และผู้ที่ได้ไปอยู่ที่นั่นจะคิดว่าเป็นสวรรค์บนแดนดิน เขาจะรู้สึกขอบคุณพระเจ้าอย่างยิ่งที่พระองค์มีเมตตาต่อเขา เขาอาจจะต้องรอคอยเป็นเวลานานในโลกวิญญาณก่อน แต่ผลที่สุดเขาจะได้รับการปลดปล่อย เขาจะรู้สึกขอบคุณต่อความรักและความเมตตาของพระองค์ ขณะที่พวกเราซึ่งเป็นลูกผู้ได้รับความรอดของพระเจ้าจากภายในเมืองสวรรค์ คอยช่วยเหลือเขาด้วยการนำใบจากต้นไม้แห่งชีวิตไปเยียวยารักษาเขา

ส่วนพวกที่ลงเอยอยู่ในนรก จะเป็นเพราะเขาต่อสู้ทุกย่างก้าวกับทุกสิ่งที่พระเจ้าพยายามทำเพื่อช่วยไม่ให้เขาตกนรก เขายืนกรานที่จะตกนรก แม้ว่าพระเจ้าจะให้โอกาสเขาทุกวิถีทาง ด้วยความรักและความเมตตา เพื่อช่วยให้เขามีความรอด และสำนึกผิด 

ทุกคนที่ได้รับความรักและการให้อภัยจากพระเจ้า ผ่านพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ มีความรอด และจะได้ขึ้นสวรรค์แน่นอน เมื่อเสียชีวิต คุณไม่ต้องคอยอีกหนึ่งพันปีในโลกวิญญาณ เพื่อตัดสินชะตาชีวิตขั้นสุดท้าย คุณไม่อยากเป็นคนหนึ่งที่มีความรอด ซึ่งจะได้อยู่กับพระเจ้าในเมืองสวรรค์ที่ตระการตา คือกรุงเยรูซาเล็มใหม่ เพื่อชื่นชมกับความสุขสำราญใจอันแสนวิเศษทุกอย่างในแดนสุขาวดีหรอกหรือ ขอพระเจ้าอวยพรคุณด้วยความรอดชั่วนิรันดร์ของพระองค์ ในนามพระเยซู อาเมน

ปรับเปลี่ยนจากข้อเขียนของ เดวิด บรานท์ เบิร์ก จัดพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือขุมทรัพย์ ปี ค.ศ.1987 ปรับเปลี่ยนและจัดพิมพ์ใหม่ เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2018


[1] ยอห์น 12:48

[2] ฮีบรู 9:27

[3] วิวรณ์ 21:24

Copyright © 2024 The Family International