มิถุนายน 2, 2016
[Teaching Others to Teach Others]
จงมอบคำสอนเหล่านั้นซึ่งท่านได้ยินจากข้าพเจ้า ต่อหน้าพยานหลายคน ไว้กับผู้ที่สัตย์ซื่อ ซึ่งสามารถสอนคนอื่นได้ด้วย — 2 ทิโมธี 2:2[1]
การสอนผู้คนเกี่ยวกับพระเยซูเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการสืบสานความศรัทธา และช่วยหนุนนำให้ความเชื่อของคริสเตียนไปสู่อนาคต การสอนดังกล่าวนี้ช่วยให้เราแต่ละคนมีส่วนสืบสานความศรัทธา โดยที่เราต่างก็สืบเชื้อสายทางจิตวิญญาณ นับจากขณะนี้ไปสู่อนาคต
ตอนที่พระเยซูจะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ พระองค์สั่งให้สาวกออกไปทั่วโลก และประกาศพระกิตติคุณ พระองค์กล่าวว่า "ท่านจงไปสร้างสาวกจากชนทุกชาติ" [2] ส่วนหนึ่งในนิยามของคำว่า “สาวก” คือผู้ที่มีความเชื่อแรงกล้าในคำสอนของผู้นำ การแนะนำให้สาวกไปสร้างสาวกจากชนทุกชาติ ก็เท่ากับพระองค์กล่าวว่าเขาควรจะสอนผู้อื่นถึงคำสอนของพระองค์ ซึ่งพระองค์ได้ทำเช่นนั้นโดยตลอด ในหน้าที่การงานของพระองค์ต่อสาธารณชน
พระเยซูพยายามสอนผู้ติดตามของพระองค์ ในสิ่งที่เขาควรจะรู้ เพื่อเผยแพร่ความศรัทธา พระองค์ใช้เวลาประมาณสามปี สอนเขาทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ เพื่อเขาจะได้ประกอบหน้าที่การงานต่อไป โดยที่ไม่มีตัวตนของพระองค์อยู่ด้วย นี่คือส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ในหน้าที่การงานของพระองค์ เพราะไม่เช่นนั้น ข่าวเรื่องความรอดก็จะไม่แพร่ไปทั่วโลก ในสมัยที่เขามีชีวิตอยู่ ถ้าพวกสาวกไม่ทำเช่นเดียวกัน ข่าวสารก็คงจบสุดไปในยุคสมัยของเขา การสอนผู้อื่นคือองค์ประกอบสำคัญของการเป็นสาวก และการสืบสานความศรัทธา
มีข้อแตกต่างระหว่างการประกาศและการสอน คำกรีกที่ใช้ในพระคัมภีร์ใหม่ สำหรับคำว่าประกาศ คือ kerusso หมายถึงการป่าวประกาศ ตีพิมพ์ ประกาศอย่างเปิดเผย คำกรีกในพระคัมภีร์ใหม่ที่ใช้สำหรับคำว่าสอน คือ didasko หมายความว่า การสอน การสนทนาเพื่อให้คำแนะนำคนอื่น การชี้แนะ ปลูกฝังหลักการ ในการงานของพระเยซู พระองค์ทำทั้งสองอย่างนี้โดยตลอด พระองค์ประกาศ และพระองค์สอน ดังที่ระบุไว้ใน มัทธิว 11:1 ว่า "ต่อมาเมื่อพระเยซูสั่งสาวกสิบสองคนเสร็จแล้ว พระองค์จากที่นั่นเพื่อไปสั่งสอนและประกาศในเมืองต่างๆ"
ผู้คนยอมรับว่าพระเยซูคืออาจารย์ ดังที่เราเห็นได้จากการที่พระองค์พูดคุยกับนิโคเดมัส "ชายผู้นี้มาหาพระเยซูในเวลากลางคืน และกล่าวว่า “รับบี พวกข้าพเจ้าทราบอยู่ว่าท่านเป็นครูที่มาจากพระเจ้า เพราะไม่มีผู้ใดกระทำการอัศจรรย์ซึ่งท่านได้กระทำนั้น นอกจากว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขา" [3] นอกจากนี้พระกิตติคุณยอห์นบันทึกไว้ว่า “ในตอนเช้าตรู่พระองค์เข้าไปในพระวิหารอีก ผู้คนพากันมาหา พระองค์ประทับนั่งและสั่งสอนเขา”[4]
พระเยซูเป็นครูสอน พระองค์สอนทั้งฝูงชนและสาวกของพระองค์ เป้าหมายในการประกาศก็คือ ป่าวประกาศถึงอาณาจักรของพระเจ้า พระองค์สร้างรายบุคคลให้เป็นสาวกด้วยการสอน และสอนผู้ที่จะหันไปสอนคนอื่น เพื่อจะได้มีการดำเนินขั้นตอนนี้ ซ้ำแล้วซ้ำอีก คนแล้วคนเล่า ศตวรรษแล้วศตวรรษเล่า
การนำใครสักคนไปสู่ความรอด เป็นสิ่งยอดเยี่ยม! เป็นการนำเขามาสู่พระองค์ โดยมอบชีวิตนิรันดร์ให้เขา นี่เป็นจุดเริ่มต้นเส้นทางไปสู่การเป็นสาวกสำหรับบางคน การช่วยให้ใครสักคนดำเนินไปบนเส้นทางการเป็นสาวก คือย่างก้าวต่อไป ซึ่งต้องใช้วิสัยทัศน์ โดยตระหนักว่าการสร้างใครสักคนให้เป็นสาวก คือการลงทุนในอนาคตด้วยความศรัทธา
การที่พระเยซูสร้างสาวก ส่งผลให้คุณเป็นสาวกในทุกวันนี้ พระองค์ไม่เพียงสร้างสาวกจากอัครสาวก 12 คน ตามที่เปาโลกเขียนไว้ใน 1 โครินธ์ 15 หลังจากที่พระองค์ฟื้นคืนชีพ พระองค์ปรากฏกายต่ออัครสาวก 12 คน และต่อพี่น้องอีกกว่า 500 คน ซึ่งคงเป็นสาวกผู้ที่พระองค์สอนไว้บ้าง ไม่มากก็น้อย
การสร้างสาวกคือกุญแจไปสู่การขยายตัว และสืบสานความเชื่อคริสเตียน ถ้าปราศจากสิ่งนี้ กลุ่มผู้มีความเชื่อจะไม่ขยายตัว จะไม่มีใครประกาศ และสร้างคนอื่นให้เป็นสาวก โดยรับช่วงงานมอบหมายต่อจากพระคริสต์
การสร้างใครสักคนให้เป็นสาวก คุณไม่ต้องเป็นครูสอนพระคัมภีร์ที่มีพรสวรรค์ หรือต้องรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับพระเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น การสร้างสาวกหมายถึงการที่คุณทำเท่าที่ทำได้ เพื่อช่วยคนอื่นให้ดำเนินไปตามเส้นทางด้านจิตวิญญาณ ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นครูสอนที่เก่ง แต่ทุกคนบอกเล่าถึงสิ่งที่เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับความศรัทธา พระเจ้า ความรัก พระเยซู และความรอดกับใครสักคนได้ คุณมอบพระคัมภีร์หรือพันธะสัญญาใหม่ หรือสิ่งพิมพ์อื่นๆ คุณพยายามตอบคำถาม หรือบอกเล่าถึงสิ่งที่คุณได้เรียนรู้ คุณอธิษฐานกับเขาได้ แล้วชี้ให้เขาเห็นว่าจะอธิษฐานอย่างไร โดยให้การสนับสนุนทางจิตวิญญาณแก่เขา เมื่อ “สองสามคนมาชุมนุมกันในนามของเรา”[5]
การสอนใครสักคน ไม่ได้หมายความว่าจะชี้นำเขาไปตลอดชีวิตคริสเตียน ทุกขั้นทุกตอน ทว่าเป็นการบอกเล่าสิ่งที่คุณรู้และประสบการณ์ โดยชี้นำเขาไปสู่พระองค์และพระคำ การมีสื่อสัมพันธ์กับเขาจะช่วยเพิ่มเติมความรู้เรื่องพระเจ้าให้แก่เขา นี่จะช่วยให้เขาเติบโตในความศรัทธา
การสอนผู้อื่นไม่ต้องหมายความว่ามีการเรียนการสอนอย่างเป็นทางการกับใครสักคน อาจเป็นการร่วมมิตรภาพทางจิตวิญญาณ อาจเป็นการตอบคำถาม การช่วยให้ใครเป็นสาวก ไม่ต้องเป็นทางการ และมีวิธีการ จะเป็นเช่นนี้ก็ได้ แต่ไม่จำเป็น บ่อยครั้งจะเป็นการผูกมิตร พระเยซูเรียกผู้ที่พระองค์สร้างให้เป็นสาวกว่าเพื่อน "เราเรียกท่านว่ามิตรสหาย เพราะทุกสิ่งที่เราได้ยินจากพระบิดา เราได้แสดงแก่ท่านแล้ว"[6]
มิตรภาพคือแง่มุมที่สำคัญมาก! เมื่อคุณเดินร่วมทางไปกับใคร บนเส้นทางชีวิตในวิญญาณ คุณก็อยากจะรับบทบาทตามที่พระองค์ต้องการ เพื่อคุณจะได้ช่วยให้เขาเชื่อมความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับพระเจ้า การทำเช่นนี้จะได้ผลที่สุด ในฐานะที่เป็นเพื่อนกัน
ผมได้อ่านบทความสักระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งเน้นย้ำประเด็นเรื่องมิตรภาพ ว่ามีความสำคัญยิ่งกว่าการพยายามพัฒนาความสัมพันธ์ฉันครูนักเรียน กับผู้ที่เราพยายามนำมาสู่เส้นทางการเป็นสาวก บทความเขียนโดยบุคคลผู้มีหน้าที่การงานด้านเสริมพละกำลังและการสร้างสาวกจากกลุ่มสมาชิกชายในโบสถ์
เมื่อหลายปีก่อนผมกับภรรยารู้จักสามีภรรยาคู่หนึ่งที่โบสถ์ ดูเหมือนว่าเรามีอะไรคล้ายกันมาก เราชวนเขามาที่บ้าน ฝ่ายสามีเป็นสาวกจริงๆ แต่เขาใช้วิธีการที่รับได้ยาก เราออกไปคุยกันข้างนอก สองชั่วโมงต่อมา เขาพยายามให้ผมเป็นสาวก ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเขาพูดเรื่องอะไร เพราะผมมัวแต่คิดว่า ‘เขาจะพูดจบเมื่อไรนะ’ ผมไม่ได้มองหาความสัมพันธ์ฉันครูนักเรียน ผมมองหาเพื่อน ผมอยากให้ค่ำคืนนั้นผ่านไปเร็วๆ และสื่อสัมพันธ์ก็ห่างหายกันไป ถึงแม้ว่าเขาจะมีความตั้งใจดี แต่เขาไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรในชีวิตผม ถึงแม้ว่าตอนนั้นผมดิ้นรนทางจิตวิญญาณ ผมต้องการสื่อสัมพันธ์มากกว่าคำบรรยาย
เมื่อผมพบปะใครที่ต้องการจะสร้างให้เป็นสาวก นี่ไม่ใช่การเป็นที่ปรึกษา แต่เป็นมิตรภาพ ผมเรียนรู้จากเขา และหวังว่าเขาเรียนรู้จากผม การเริ่มมิตรภาพที่มีพระคริสต์เป็นหัวใจสำคัญ ก็เหมือนการจุดฟืนแห้งๆ ให้ลุกเป็นไฟ โดยก่อให้เกิดความปรารถนาต่อพระคริสต์ ผมชอบถกเรื่องพระคัมภีร์ ผมชอบพูดคุยกับคนที่ชื่นชอบสิ่งเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ผมไม่ถือว่าใครด้อยกว่าผม เราแต่ละคนมีระดับเดียวกัน ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้อยู่ระดับเดียวกันในทางจิตวิญญาณ แต่เราก็เป็นมิตรต่อกันได้ มิตรภาพเท่านั้นถึงจะทลายกำแพงขวางกั้น โดยที่เราจะยอมเปิดใจบอกความจำเป็นที่แท้จริงของเรา นี่เป็นแง่คิดที่สื่อความได้ยาก เมื่อใครหันมาหาพระคริสต์ ผู้คนก็พยายามให้เขาเป็นสาวก โดยทำตัวเป็นผู้นำ แทนที่จะเป็นเพื่อน คนเราจะเปิดใจบอกเล่าถึงการที่เขาดิ้นรน และถามเพื่อน มากกว่าคนที่ทำตัวสูงส่ง – เอ็ดดี้ สไนพส์
เราได้รับมอบหมายจากพระเยซู เพื่อช่วยให้ผู้อื่นเป็นสาวก
สาวกสร้างสาวก ในฐานะที่เป็นสาวก เรามีความรัก เรามีความเชื่อแรงกล้า และติดตามคำสอนของพระเยซู นอกจากนี้ เราช่วยกระจายคำสอน คือพระคำของพระเจ้า ในฐานะที่เป็นสาวก เราทำตามที่พระเยซูบอกกล่าว และสอนผู้อื่น เพื่อเขาจะได้เติบโตเป็นสาวก นี่คือส่วนหนึ่งในงานมอบหมาย
แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่สามารถทำทุกสิ่งที่สาวกทำได้ตลอดเวลา เป็นที่น่าเข้าใจว่าในบางสถานการณ์ คุณคงประกาศหรือสอนไม่ได้ แต่ถึงแม้ว่าคุณไม่ประกาศและสอนเอง แต่คุณยังคงช่วยกระจายคำสอนของพระเยซูได้ ผ่านคำอธิษฐานและการมอบเงินช่วยเหลือให้แก่ผู้ที่สามารถประกาศและสอนถึงพระองค์
ขณะที่พระเยซูง่วนอยู่กับการประกาศ พระองค์เน้นความสำคัญในการสอนด้วย โดยตั้งใจสร้างสาวกจากผู้ที่หันมามีความเชื่อ สาวกคือผู้ที่สืบสานงานต่อ และส่งเสริมความศรัทธา เนื่องจากว่าเป้าหมายคือการสร้างสาวกจากชนทุกชาติ การสอนจึงมีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง การสอนช่วยให้ผู้ที่คุณนำมาสู่พระองค์เป็นคริสเตียนที่แข็งแกร่งขึ้น
การสอน การปลูกฝังความศรัทธา การเข้าใจหลักคำสอน การได้สัมผัสพระเยซู การเชื่อมสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับพระเจ้า นี่แหละช่วยให้เกิดสาวก การสอนคือองค์ประกอบสำคัญมากในงานมอบหมายที่ยิ่งใหญ่ ในการทำหน้าที่ซึ่งพระเยซูมอบหมายไว้ให้กับสาวก
จัดพิมพ์ครั้งแรก เดือนมกราคม ค.ศ.2012 ปรับเปลี่ยนและจัดพิมพ์ใหม่ เดือนมิถุนายน ค.ศ.2016
Copyright © 2024 The Family International