เปิดใจอธิษฐานต่อพระองค์

มีนาคม 22, 2014

โดย มาเรีย ฟอนเทน

ในการดำเนินชีวิตกับพระองค์ เราต่างก็ถึงจุดที่ต้องสู้ศึกส่วนตัวบางครั้งที่ทำให้อ่อนใจอย่างยิ่ง ในเวลาเช่นนี้เป็นการง่ายที่จะรู้สึกว่าสถานการณ์ของคุณน่าสิ้นหวัง ราวกับว่าไม่มีอะไรที่คุณทำได้เพื่อรับชัยชนะ แต่ขอให้มีกำลังใจ เพราะว่ามีการปลดปล่อยให้หลุดพ้น พระองค์มีทางแก้เสมอต่อปัญหาที่เราประสบอยู่

ถ้าหากคุณไม่ประสงค์อีกต่อไปที่จะเป็นพยาน หรือสละเวลาเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ถ้าคุณเข้ากับใครไม่ได้ ถ้าคุณเหงา ถ้าความเห็นแก่ตัวคืบคลานเข้ามาในชีวิตคุณมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าคุณพัฒนาความกระหายที่ไม่เป็นไปตามแบบอย่างของพระเจ้า หรือติดอกติดใจสิ่งที่ไม่มีคุณประโยชน์ ถ้าคุณผจญกับการนึกคิดในแง่ลบ วิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น หรือรู้สึกท้อแท้ใจ พระองค์ก็มีคำตอบเสมอต่อปัญหาทุกอย่างที่เราประสบ

ในช่วงเวลาดังกล่าว เราจำเป็นต้องหันไปหาพระองค์ ปวารณาตน และกล่าวคำอธิษฐานที่นำมาซึ่งพรจากพระองค์ และช่วยให้เราบ่ายหน้าไปสู่เส้นทางชัยชนะ

ฉันชอบคำอธิษฐานเป็นลายลักษณ์อักษร บางครั้งฉันเตรียมคำอธิษฐานเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ล่วงหน้า เพื่อกล่าวอธิษฐานเป็นส่วนตัว เพราะนั่นช่วยให้ฉันนึกคิดและอธิษฐาน ถึงสิ่งที่ฉันอยากจะกล่าว และการปวารณาตนต่อพระองค์ ฉันขออธิษฐานว่าคำอธิษฐานเป็นลายลักษณ์อักษรต่อไปนี้จะมีช่วยคุณ เช่นเดียวกับที่ได้ช่วยฉัน

 

(คำอธิษฐาน) ข้าแต่พระเยซู ทั้งๆ ที่เรามีบาปและข้อบกพร่อง แต่พระองค์ก็เป็นเพื่อนคู่ใจผู้ที่รักและคอยเคียงข้างเราเสมอ พระองค์รักเราอย่างไม่รู้เสื่อมคลาย พระองค์ไม่เคยทอดทิ้งหรือหันหลังให้เรา ถึงแม้เราอาจรู้สึกว่าไม่ควรค่า เลวร้าย หรือเป็นคนบาปเพียงใด ขณะที่ฉันกล่าวคำอธิษฐานนี้ ฉันเอ่ยอ้างข้อพระคำว่า ไม่ใช่เป็นเพราะความชอบธรรมใดๆ ที่เราได้ทำ พระองค์จึงกอบกู้และปลดปล่อยให้เราหลุดพ้น แต่เป็นเพราะความเมตตาของพระองค์[1]

ฉันมีใจปรารถนาที่จะทำให้พระองค์พอใจ และเชื่อฟังพระองค์ โดยการดำเนินชีวิตตามพระคำ ใกล้ชิดกับพระองค์ และเป็นสักขีพยานที่ดีต่อผู้อื่น ฉันอยากให้ชีวิตของฉันก่อเกิดผล ฉันอยากมอบความรักให้แก่ผู้อื่น ฉันต้องการเป็นพรต่อคนที่ฉันรัก และช่วยเกื้อหนุนผู้ที่อ่อนแอกว่า หรือผู้ที่ขัดสน

ฉันต้องการให้พระองค์ฉายแสงแรงสูงจากพระคำของพระองค์ ส่องเข้าไปสู่ส่วนลึกในดวงวิญญาณของฉัน เพื่อให้ฉันเล็งเห็นชัดเจนถึงด้านต่างๆ ที่ต้องเปลี่ยนแปลง ฉันต้องการเปลี่ยนแปลงด้วยความจริงใจอย่างสุดหัวใจ, พระเยซู “ข้าแต่พระเจ้า โปรดสืบเสาะให้ล่วงรู้จิตใจข้า ทดสอบข้าให้ล่วงรู้ความกังวลในใจข้า ดูว่ามีสิ่งไม่พึงปรารถนาใดบ้าง และนำข้าไปสู่หนทางแห่งความเป็นนิรันดร์”[2]

ฉันค่อนข้างหวั่นใจว่าฉันไม่มีคุณสมบัติที่จะเปลี่ยนแปลงหรือทำการเสียสละ ซึ่งฉันรู้ว่าพระองค์ต้องการให้ฉันทำ การกล่าวคำอธิษฐานเช่นนี้หมายความว่าชีวิตฉันจะเปลี่ยนไป และฉันจะต้องเปลี่ยน นี่ต้องอาศัยการยินยอมอ่อนน้อม การสละทุกสิ่งทุกอย่าง และกลายเป็นคนใหม่ในบางแง่

ฉันพยายามที่จะยินยอมอ่อนน้อม ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นการยินยอมอ่อนน้อมเพียงบางส่วน ขอบคุณพระเยซูที่มอบความปรานีและพละกำลังให้ฉันยึดมั่นไว้ จนผ่านพ้นการสู้ศึกไปได้ ถึงแม้พระองค์จะรู้ว่าฉันไม่ได้ยินยอมอ่อนน้อมอย่างเต็มที่ ขอบคุณพระองค์ด้วยที่มอบความปรานีให้ผู้อื่นอดทนกับฉันและรักฉัน ทั้งๆ ที่ฉันมีจุดอ่อนต่างๆ นานา ขอบคุณที่เขาอธิษฐานเผื่อฉัน

ฉันบอกได้เลยว่าฉันนึกต่อต้านขัดขืนความหยิ่ง ความกลัวต่ออนาคตและความคิดฝังหัวที่ฉันคิดว่าสิ่งต่างๆ ควรเป็นเช่นไร หรือแม้แต่การที่ฉันมองตัวเอง ก็พยายามหน่วงเหนี่ยวฉันไว้ แล้วยังมีความเห็นแก่ตัว การอยากทำตามอำเภอใจ การขาดศรัทธาและความไว้วางใจในพระองค์ แม้แต่การที่ฉันหวังว่า ถ้าฉันหน่วงเหนี่ยวไว้นานพอ และไม่กล่าวคำอธิษฐานดังกล่าว สิ่งต่างๆ คงจะเปลี่ยนไปในบางแง่ และพระองค์จะไม่เรียกร้องการเสียสละเช่นนี้จากฉัน โดยที่ฉันต้องยอมสละตัวเอง สละความหยิ่ง และแนวคิดของฉันเอง

ฉันตั้งใจแน่วแน่ที่จะกล่าวคำอธิษฐานนี้, พระองค์ เพราะฉันจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง ฉันต้องการฝากตัวเอง ฝากความห่วงใย ความหวัง ความใฝ่ฝัน คนอันเป็นที่รัก และอนาคตของฉันไว้กับพระองค์! ฉันต้องการให้พระองค์เปลี่ยนแปลงฉัน ตามที่พระองค์ต้องการให้ฉันเป็น

พระเยซู, ได้โปรดเปลี่ยนจิตใจฉัน การที่ฉันจะได้รับชัยชนะต่อปัญหาส่วนตัวและจุดอ่อนๆ ดูเหมือนว่าเป็นสถานการณ์ที่สุดวิสัย แต่พระองค์กล่าวว่าพระองค์คือพระเจ้าแห่งความสุดวิสัย สิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์ ก็เป็นไปได้สำหรับพระองค์ และทุกสิ่งเป็นไปได้ต่อผู้ที่มีความเชื่อ[3] ฉันจำเป็นต้องมีศรัทธา โดยที่เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นไปได้  แต่พระองค์กล่าวไว้ ดังนั้นฉันรู้ว่าอะไรก็ตามที่ฉันขอด้วยศรัทธา และเชื่อ พระองค์ก็จะทำตามนั้น[4]

ฉันไม่รู้ว่าพระองค์จะจัดการเรื่องนี้ได้อย่างไร แต่ได้โปรดทำเช่นนั้น ฉันต้องการจริงๆ ถ้าจะว่ากันไปแล้ว ใจหนึ่งฉันก็ไม่ต้องการ เพราะฉันรู้ว่าฉันต้องยอมเสียค่าแลกเปลี่ยน ฉันจะต้องเปลี่ยนไป และต้องถ่อมเนื้อถ่อมตัว แต่ในอีกแง่หนึ่ง ฉันก็ต้องการจริงๆ เพราะฉันรู้ว่านั่นคือสิ่งที่พระองค์ต้องการ ฉันรู้ว่านั่นจะทำให้พระองค์พอใจ ฉันรู้ว่าการทำเช่นนั้นนำมาซึ่งการอวยพรจากพระองค์

ฉันรู้ว่าไม่ว่าฉันจะทำการเสียสละอย่างไร ไม่ว่าฉันต้องมอบให้มากเพียงใด ไม่ว่าดูเหมือนฉันจะสูญเสียมากแค่ไหน ฉันจะยังคงมีพระองค์! นั่นเป็นความรู้สึกแสนวิเศษ ที่รู้ว่าฉันจะไม่ล้มคว่ำ เพราะพระองค์จะคอยพยุงฉันและโอบอุ้มฉันไว้ในอ้อมแขนของพระองค์ ดังนั้นฉันไม่ต้องกลัวอะไร ฉันรู้ว่าจะมีบททดสอบมากมาย และฉันจะถูกล่อใจให้กลับคำ แต่ด้วยความปรานีของพระองค์ ฉันจะก้าวต่อไปเรื่อย

ฉันรู้ว่าต้องมุ่งหน้าต่อไป ถ้าฉันต้องทำเช่นนี้ ทำไมไม่ทำให้สุดหัวใจเลยล่ะ ทำไมไม่ไปจนถึงที่สุด แทนที่จะทำอย่างเสียไม่ได้ ด้วยความลังเลใจ ทำไมไม่ทำให้สุดจิตสุดใจ ฉันรู้ว่ายิ่งฉันทำเช่นนั้นเร็วขึ้นเท่าไหร่ ชัยชนะก็จะมาถึงเร็วขึ้นเท่านั้น คือชัยชนะที่พระองค์ต้องการ ชัยชนะจากการเสริมสร้างพละกำลังต่อจุดอ่อนเรื้อรังของฉัน และการที่พละกำลังของพระองค์เพียบพร้อมในความอ่อนแอของฉัน[5]

พระองค์กล่าวว่า “เจ้ามีศรัทธาเช่นไร ก็จะเป็นเช่นนั้นต่อเจ้า”[6] ต้องอาศัยศรัทธาแรงกล้าที่จะอธิษฐานขออย่างเฉพาะเจาะจง แต่ฉันเชื่อว่านี่จะนำมาซึ่งคำตอบที่เฉพาะเจาะจงจากพลังของพระองค์ พระเยซู, ฉันรู้ว่าทุกสิ่งเป็นไปได้ต่อผู้ที่เชื่อ สำหรับมนุษย์ก็เป็นไปไม่ได้ แต่ทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับพระเจ้า พระองค์ถนัดเรื่องสิ่งต่างๆ ที่เราคิดว่าเป็นไปไม่ได้ และสิ่งที่ดูเหมือนสุดวิสัย พระองค์ไม่เพียงแต่เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ทว่าพระองค์เป็นผู้ทำมหัศจรรย์ด้วย

โดยการกล่าวคำอธิษฐานนี้ด้วยศรัทธา ฉันขอเลือกที่จะยอมรับความประสงค์ของพระองค์สำหรับชีวิตฉัน ฉันก้าวออกไปบนผืนน้ำ โดยไว้วางใจให้พระองค์ยกชูฉัน โอบอุ้มฉันไปถึงอีกฝั่งหนึ่ง และบันดาลให้ฉันยืนหยัดด้วยชัยชนะอันมั่นคงแน่วแน่

ได้โปรดส่งกองกำลังทูตสวรรค์มาเกื้อหนุนและเสริมสร้างพละกำลังให้แก่ฉัน บางครั้งฉันรู้สึกราวกับว่ามีการสู้รบในหัวคิดฉัน และในปฏิกิริยาที่ฉันตอบรับ ฉันได้ยินเสียงค่อยๆ ที่แผ่วเบาจากพระองค์ และเสียงจากพระคำที่มอบแนวทางให้แก่ฉัน แต่บางครั้งฉันรู้สึกว่าความวิตกกังวล ความกลัว ความสงสัย ความคิดวิพากษ์วิจารณ์และความขมขื่นใจ ประดังเข้ามาจนตั้งตัวไม่ติด

โปรดมอบความปรานีที่เหนือธรรมชาติ เพื่อช่วยให้ฉันต่อสู้! ช่วยให้ฉันมีใจนักสู้มากขึ้น! พระเยซู, พระองค์บอกไว้ว่าสามารถช่วยฉันให้ทะยานขึ้นมาเหนือสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะดูเหมือนเป็นไปไม่ได้สักแค่ไหนก็ตาม โปรดบันดาลให้ท้องทะเลที่ปั่นป่วนสงบลง และช่วยให้ฉันสงบใจ โปรดตัดโซ่ตรวนและปลดปล่อยให้ฉันเป็นอิสระ จากสิ่งต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคขัดขวางสัมพันธภาพที่ฉันมีกับพระองค์

พระเยซู, ฉันไม่อยากมีความกลัว ความหวาดหวั่น ความเครียด และสภาพขวัญเสียที่ฉันประสบอยู่นี้ โปรดปลดปล่อยฉันให้เป็นอิสระจากความรู้สึกผิดเกี่ยวกับอดีต และเป็นอิสระจากความกลัวต่ออนาคต

ฉันรู้ว่าฉันยังคงต้องต่อสู้ แม้แต่หลังจากที่กล่าวคำอธิษฐานนี้ โดยวางหัวใจฉันไว้บนแท่นบูชา และขอพระองค์ช่วยให้ฉันเป็นภาชนะที่ยินยอมอ่อนน้อมในมือช่างปั้น ด้วยการยอมรับความประสงค์ของพระองค์ ยังคงมีบททดสอบและเครื่องล่อใจ จะมีช่วงเวลาที่ฉันพลาดพลั้งด้วยซ้ำ แต่ด้วยความปรานีของพระองค์ ฉันจะลุกขึ้นมาอีก ครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับคนแข็งแกร่งที่ล้มลงเจ็ดหน แต่ก็ลุกขึ้นมาอีก[7]

ความท้าทายดังกล่าวเป็นพรที่แอบแฝงมา ถ้าฉันสำนึกว่าเป็นเช่นนั้น ถ้าฉันรับความท้าทาย โดยถือว่าเป็นแง่บวก และทุ่มเทจิตใจจริงๆ ก็จะง่ายขึ้นมากทีเดียว เพราะเมื่อนั้นฉันจะร่วมมือกับพระองค์

ฉันรู้ว่าทั้งหมดที่กล่าวมานี้ฟังดูยอดเยี่ยม และน่าอาจหาญมากจริงๆ แต่ฉันคงจะไม่ฟังดูเป็นเช่นนี้เสมอไป ดังนั้นขอบันทึกไว้ ฉันขอกล่าวว่าวันนี้ฉันตั้งใจแน่วแน่ด้วยศรัทธา ว่านี่คือเป้าหมายของฉัน นี่คือสิ่งที่ฉันมุ่งมั่น นี่คือสิ่งที่ฉันจะทำ ด้วยความปรานีของพระองค์

ขอบคุณพระเยซู ฉันไว้วางใจพระองค์อย่างสิ้นเชิง ฉันรู้ว่าพระองค์รักฉัน และพระองค์ทำทุกสิ่งเป็นอย่างดี ฉันพึ่งพาพระองค์ ฉันคาดหมายคำตอบต่อคำอธิษฐาน เพราะพระองค์สัญญาไว้ ฉันรู้ว่าฉันไม่มีความหมายอะไร ถ้าปราศจากพระองค์[8] ฉันรู้ว่าในตัวฉัน ที่เป็นคนบาป ไม่มีความดีงามใดๆ[9] ฉันต้องการพละกำลังและพลังอำนาจ ในการที่จะเปลี่ยนแปลง ฉันต้องการพระองค์อย่างที่สุด, พระเยซู ฉันต้องการให้ความรักและพระวิญญาณของพระองค์ ชี้แนะและนำทางฉันไปในแต่ละย่างก้าว ในทุกสิ่งที่ฉันทำ และสัมพันธภาพที่ฉันมีกับผู้อื่น ฉันต้องการให้ชีวิตฉันเป็นตัวอย่างถึงความรักที่พระองค์มีต่อผู้คน

เมื่อผู้คนมองดูฉัน ฉันต้องการให้เขาเห็นพระองค์ ฉันนึกถึงเปโตรกับยอห์น ผู้ซึ่งขาดความรู้ และเป็นคนธรรมดาสามัญ แต่ผู้คนรู้ว่าเขาเคยอยู่กับพระองค์, พระเยซู[10] เมื่อทุกอย่างลงตัวแล้ว พอฉันสำเร็จหลักสูตร และพระองค์เรียกฉันกลับบ้าน ฉันต้องการให้เป็นที่กล่าวขวัญกันว่าผู้คนรู้ว่าฉันเคยอยู่กับพระองค์ เพราะเขาเห็นภาพสะท้อนของพระองค์ในตัวฉัน ได้แก่ ความรัก ความเมตตากรุณา ความเข้าอกเข้าใจ พละกำลัง และพลังอำนาจของพระองค์

ฉันต้องการให้พระวิญญาณดำรงชีวิต ดำเนินงาน และเคลื่อนไหวในตัวฉันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ฉันต้องการเติมเต็มด้วยความรักของพระองค์ คือความรักที่มีต่อพระองค์และผู้อื่น เพื่อจะได้ท่วมท้นและอวยพรชีวิตของผู้อื่น

พระเยซู, ถึงแม้ว่าฉันไม่เห็นคำตอบในทันที ถึงแม้ฉันไม่เห็นหรือไม่รู้สึกถึงคำตอบต่อคำอธิษฐานอีกระยะหนึ่ง ฉันก็จะเชื่อต่อไป เพราะพระองค์สัญญาไว้ และฉันรู้ว่าพระองค์จะไม่ปล่อยปละละเลยฉัน ด้วยความปรานีของพระองค์ ฉันมีความปรารถนาแน่วแน่ที่จะดำเนินไปในพระวิญญาณ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะไม่เห็นแก่ตัว มีความรัก มอบให้ คำนึงถึงผู้อื่น รวมทั้งอ่าน ยอมรับ และดำเนินชีวิตตามพระคำ

ฉันต้องการปวารณาตนอีกครั้ง ต่อพระองค์, พระเยซู ฉันต้องการใช้เวลาอยู่กับพระองค์มากขึ้น เพื่อเชื่อมสัมพันธภาพ ระบายความในใจกับพระองค์ รับฟังพระคำซึ่งเหมาะกับสถานการณ์ของฉันโดยเฉพาะ ฉันต้องการให้พระองค์เป็นกองกำลังมั่นคงที่ฉันยึดเหนี่ยวได้ และรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะลงเอยด้วยดี เมื่อฉันรู้สึกมีความจำเป็น ฉันก็จะทำสุดความสามารถ เพื่อหันมาหาพระองค์ ด้วยการอธิษฐานอย่างสุดจิตสุดใจ โดยร้องเรียกพระองค์ เพื่อขอพละกำลังให้ฉันสู้ต่อไปอย่างสุดใจ[11]

ฉันรักและต้องการพระองค์เรื่อยไป, พระเยซูผู้แสนล้ำค่า ฉันจะพยายามอยู่เคียงข้างพระองค์เสมอ ฉันรู้สึกขอบคุณตลอดไปที่ได้เป็นหนึ่งในลูกของพระองค์ อาเมน

เพราะว่าพระเจ้ากล่าวว่า “ให้มีความสว่างในความมืด” โดยให้ความสว่างนี้ส่องเข้ามาในจิตใจของเรา เพื่อให้เรารู้ถึงสง่าราศีของพระเจ้าที่ปรากฏบนใบหน้าของพระเยซูคริสต์ บัดนี้เรามีความสว่างส่องอยู่ในใจ แต่เราเป็นดุจภาชนะบอบบางที่มีสมบัติมหาศาล อันเป็นที่ประจักษ์ว่าพลังยิ่งใหญ่ของเรานั้นมาพระเจ้า ไม่ได้มาจากตัวเราเอง

เราถูกขนาบรอบข้าง แต่ก็ไม่ถึงกับถูกบดขยี้ เราจนปัญญา แต่ก็ไม่ถึงกับหมดหวัง เราถูกข่มเหง แต่ก็ไม่ถูกพระเจ้าทอดทิ้ง เราล้มลุกคลุกคลาน แต่ก็ไม่ถึงกับพินาศ ในยามที่ต้องทนทุกข์ เรารับส่วนในความตายของพระเยซูไว้ที่ร่างกายเรา เพื่อว่าชีวิตของพระเยซูจะได้ปรากฏในร่างของเราด้วย...

ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่ย่อท้อ ถึงแม้ว่าร่างของเราเสื่อมโทรม แต่วิญญาณของเรายังคงได้รับการฟื้นฟูทุกวัน เพราะว่าความทุกข์ยากเล็กน้อยจะมีอยู่ประเดี๋ยวเดียว ทว่าจะบันดาลให้เรามีความปีติยินดีล้นพ้นเป็นนิจ เราจึงไม่มองดูความทุกข์ร้อนที่ประสบอยู่นี้ แต่เราจับตาอยู่ที่สิ่งที่มองไม่เห็น เพราะว่าสิ่งที่มองเห็นไม่จีรังยั่งยืน แต่สิ่งที่มองไม่เห็นคงอยู่ชั่วนิรันดร์[12]

จัดพิมพ์ครั้งแรก เดือนธันวาคม ค.ศ.1997 ปรับเปลี่ยนและจัดพิมพ์ใหม่ เดือนกรกฎาคม ค.ศ.2013


[1] ทิตัส 3:5

[2] เพลงสดุดี 139:23-25

[3] ลูกา 18:27; มาระโก 9:23

[4] มัทธิว 21:22

[5] 2 โครินธ์ 12:9

[6] มัทธิว 9:29

[7] สุภาษิต 24:16

[8] ยอห์น 15:5

[9] โรม 7:18

[10] กิจการ 4:13

[11] 1 ทิโมธี 6:12

[12] 2 โครินธ์ 4:6-10, 16-18

Copyright © 2024 The Family International