เป็นแชมป์ของพระเจ้า

พฤศจิกายน 25, 2013

โดย ปีเตอร์ อัมสเตอร์ดัม

“อย่าให้เราอ่อนใจในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ย่อท้อ เราจะเก็บเกี่ยวผลในเวลาอันสมควร” — กาลาเทีย 6:9[1]

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมได้ดูภาพยนตร์หลายเรื่องเกี่ยวกับทีมนักกีฬา ผมแน่ใจว่าคุณก็เช่นกัน บ่อยครั้งเรื่องราวจะเกี่ยวกับโค้ชใหม่ที่มาสอนโรงเรียนมัธยม ซึ่งมีทีมนักกีฬาที่ฝีมืออ่อนหัด บ่อยครั้งโค้ชมีสไตล์แตกต่างมากทีเดียวจากโค้ชคนก่อน ทีมนักกีฬา ผู้ปกครอง หรือเจ้าหน้าที่โรงเรียน ไม่ชอบที่เป็นเช่นนั้น โค้ชเข้มงวดกับทีม เขาผลักดันทีมอย่างหนักหน่วง เขาให้ทีมฝึกหนักอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ดูเหมือนว่าเขาฝึกซ้อมหนักแทบตายก็ว่าได้ ทีมอาจแพ้เกมแรก ๆ สองสามเกม เขาผลักดันทีมหนักขึ้น แล้วทีมก็เริ่มชนะ ผลที่สุดก็ชนะรอบชิงแชมป์

ภาพยนตร์เช่นนี้ให้แรงบันดาลใจอย่างมาก เพราะคุณเห็นว่างานหนักและความตั้งใจแน่วแน่ของโค้ชกับทีม ส่งผลคุ้มค่า บางครั้งก็น่าซาบซึ้งใจ และมีบทเรียนดี ๆ เสมอก็แทบจะว่าได้ มักจะมีบทเรียนสำหรับโค้ช สำหรับดาวเด่นในทีม สำหรับผู้ปกครอง สำหรับพวกคุณครู และสำหรับทีมโดยรวม

คุณมักจะเห็นโค้ชพูดจาปลุกขวัญทีม เมื่อเล่นเกมชิงแชมป์ได้ครึ่งทาง พอทีมล้าหลัง และดูเหมือนว่าเขาอาจแพ้ บางครั้งโค้ชร้องตะโกน บางครั้งก็พูดจานุ่มนวล เพื่อปลุกความทรงจำถึงนักกีฬาคนหนึ่งผู้ซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว หรือเกี่ยวกับเหตุการณ์หนึ่งในอดีตของโรงเรียน ซึ่งกระตุ้นทีมให้ออกไปเล่นจนชนะ

เมื่อเกมจบลง ทีมชนะ ก็มีความยินดีล้นพ้น ทีมตื่นเต้น ผู้ปกครองดีอกดีใจ โรงเรียนภูมิใจ เพราะทีมของเขาชิงแชมป์ชนะเลิศ นักกีฬารู้ว่านี่คือช่วงเวลาสุดยอดในชีวิต ตอนนี้พวกเขาหลายคนไปเรียนต่อวิทยาลัย เพื่อเล่นกีฬาให้แก่โรงเรียนใหม่ หลายครั้งภาพยนตร์ดังกล่าวจบลงโดยที่โค้ชกลับไปที่ห้องทำงานหรือบ้าน พิจารณาดูว่าเขาจะมีใครร่วมทีมปีหน้า และคิดว่าจะทำเช่นนั้นอีกอย่างไรกับทีมใหม่ปีหน้า

มีบทเรียนมากมายที่เรียนได้จากภาพยนตร์หรือเรื่องราวประเภทนี้ แต่มีบทเรียนสองอย่างที่โดดเด่นต่อผม บทเรียนแรกเกี่ยวกับสิ่งที่คุณมักจะไม่เห็นในภาพยนตร์

ตอนภาพยนตร์จบ เมื่อทีมชนะการชิงแชมป์ คุณมักจะไม่เห็นโค้ชเรียกทีมมาชุมนุมกัน และบอกขอโทษที่สมาชิกในทีมต้องฝึกหนัก และอดทนอย่างมาก เพื่อจะได้ชนะ เขาอาจบอกทีมว่าการฝึกอบรมทุกอย่างที่นักกีฬาประสบ ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ไม่ใช่เพราะเขาไม่ชอบนักกีฬา จึงให้ฝึกหนัก

แต่ผมไม่เคยเห็นโค้ชบ่งบอกว่าเสียใจที่ให้ฝึกหนัก และการฝึกยากลำบากหรือต้องเสียสละ ผมไม่เคยเห็นโค้ชเสียใจหรือขอโทษ จากข้อเท็จจริงที่ว่าเพื่อให้ทีมกลายเป็นแชมป์ และการที่เขาผลักดันทีมหนักมาก

ในทางกลับกัน เมื่อใกล้ถึงการชิงแชมป์ คุณจะเห็นโค้ชเรียกร้องจากทีมอย่างมาก ดูเหมือนว่าเขาไม่เคยพอใจกับผลงานของทีม เขาต้องการมากกว่านั้นเสมอ เขาคาดหมายมากขึ้น เขาให้ทีมออกกำลัง วิ่งแล้ววิ่งอีก บางครั้งดูเหมือนเขาทรมานทีมก็แทบจะว่าได้ ดูเหมือนเขาไม่มีความรู้สึกและไม่ใส่ใจ โดยเฉพาะเมื่อทีมหมดเรี่ยวแรง หลังการฝึก แทนที่จะให้หยุด เขาก็ให้ฝึกซ้ำอีก

ทีมหมดแรง พร่ำบ่นโอดครวญ มีสมาชิกเลิกเล่นหนึ่งหรือสองคน บางครั้งผู้ปกครองร้องทุกข์ และพยายามไล่โค้ชออก คงไม่ง่ายสำหรับโค้ชที่จะให้ทีมผ่านอะไรต่ออะไร แต่เขารู้ว่าต้องทำเช่นนั้น เพื่อให้ทีมชนะ ในบั้นปลาย เมื่อทีมเริ่มชนะ เมื่อมีผลลัพธ์ในแง่บวก โดยเฉพาะเมื่อเขากลายเป็นแชมป์ เมื่อนั้นทุกคนก็เริ่มเล็งเห็นว่าการฝึกหนัก และความยากลำบากทุกอย่างนั่นเอง ที่นำมาซึ่งชัยชนะ

เห็นได้ชัดว่าการที่จะกลายเป็นแชมป์ต้องอาศัยการฝึกอย่างหนัก และการเสียสละ เห็นได้ชัดว่าไม่มีหนทางที่ง่ายดายไปสู่ชัยชนะ

คงจะเป็นตอนจบที่ขัดกับบรรยากาศ ในภาพยนตร์ที่ให้แรงบันดาลใจเช่นนี้ ถ้าโค้ชเรียกทีมมาชุมนุมกันหลังจากชิงแชมป์ชนะเลิศ และบอกว่า “ผมเสียใจจริง ๆ ที่คาดหมายและเรียกร้องจากพวกคุณมากเหลือเกิน ยังผลให้พวกคุณต้องฝึกหนัก ผมขอโทษด้วย ถ้าผมผลักดันคุณไปไกลกว่าที่คุณต้องการ หรือรู้สึกว่าไปได้” ผมไม่คิดว่าคุณจะเห็นภาพยนตร์จบลงแบบนั้น เพราะไม่มีใครในทีมที่เป็นแชมป์คาดหมาย ต้องการได้ยินคำแถลงแบบนั้น

ทำไมน่ะหรือ เพราะทีมเป็นทีมผู้ชนะ ซึ่งทุ่มเทความพยายามและหยาดเหงื่อ เพื่อจะได้เป็นผู้ชนะ เขารู้ว่าความคาดหมายจากโค้ชผลักดันเขาไปสู่ชัยชนะ ถ้าไม่ทำเช่นนั้น ก็คงไม่บรรลุชัยชนะ เขาคงไม่อยากให้เป็นอย่างอื่น

บทเรียนที่สองก็คือ โค้ชตระหนักว่าเมื่อช่วงการแข่งขันกีฬาสิ้นสุดลง เขาต้องเริ่มต้นใหม่ ด้วยทีมใหม่ เพราะนักกีฬาส่วนใหญ่จะย้ายไปเรียนต่อวิทยาลัย เขาตระหนักว่าการที่จะสร้างทีมชนะขึ้นมาปีหน้า เขาต้องฝึกใหม่อีกครั้ง ชัยชนะปีหนึ่งไม่ได้รับประกันชัยชนะอีกปีหนึ่ง เขาต้องทุ่มเทเวลา ความพยายาม และการเสียสละเหมือนเดิม เพื่อให้ทีมต่อไปเป็นทีมชนะ

นอกจากนี้เขารู้ด้วยว่าเมื่อเขาวางแผนล่วงหน้าสำหรับช่วงการแข่งขันกีฬาครั้งต่อไป ทุกสิ่งจะแตกต่างไป และเขาจะต้องปรับแผนยุทธศาสตร์ ทีมที่เขาจะรับมือปีหน้าจะเป็นทีมที่แตกต่างไป มีนักกีฬาที่แตกต่างไป ทีมของเขาจะแตกต่างไปด้วย จะไม่มีจุดเข้มแข็งเหมือนทีมในปีที่แล้ว ถ้านักกีฬาคนหนึ่งแข็งแกร่งในแง่มุมหนึ่ง แต่ตอนนี้นักกีฬาคนนั้นไปแล้ว โค้ชก็ต้องเปลี่ยนแผนยุทธศาสตร์ เพื่อนำจุดเข้มแข็งมาใช้ และแก้จุดอ่อนของทีมใหม่

โค้ชต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้นในแต่ละปีก็แทบจะว่าได้ ความรุ่งโรจน์ของปีที่แล้ว ก็เป็นแค่ความรุ่งโรจน์ของปีที่แล้ว ไม่ใช่สิ่งที่ฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ได้ ต้องอาศัยเลือดเนื้อ หยาดเหงื่อ และน้ำตาเหมือนกัน บางครั้งก็มากกว่าเดิม เพื่อให้ชนะการแข่งขันครั้งต่อไป เหมือนครั้งที่แล้ว

ผมยังไม่เห็นฉากนั้นในภาพยนตร์เรื่องใด เมื่อโค้ชคร่ำครวญเกี่ยวกับการแข่งขันครั้งต่อไป และงานหนักที่ต้องทำ ผมไม่เคยเห็นเขากล่าวว่า “ผมไม่เชื่อเลยว่าหลังจากผ่านพ้นปีที่ยากลำบากมาแล้ว ผมจะต้องทำเช่นนั้นอีก! ทางโรงเรียนคาดหมายให้ผมเริ่มต้นสด ๆ ร้อน ๆ ในการแข่งขันครั้งใหม่ได้อย่างไร ในเมื่อผมเพิ่งทุ่มเทให้อย่างเต็มที่ กับการแข่งขันครั้งที่แล้ว ผมคิดว่าน่าจะง่ายขึ้น ผมคิดว่าผมน่าจะไปเรื่อย ๆ ได้สักปีสองปี จากการเป็นแชมป์ครั้งที่แล้ว ผมพอใจกับชัยชนะของเรา ไม่ยุติธรรมเลยที่ต้องทำงานหนักต่อไป เพื่อสร้างทีมที่จะเป็นแชมป์รุ่นใหม่” ไม่หรอก คุณจะไม่มีวันเห็นภาพยนตร์ที่มีฉากแบบนั้น

โค้ชชั้นยอดไม่คิดแบบนั้น นั่นไม่อยู่ในสายเลือดของเขา เขากระหายที่จะชนะ เขาตั้งใจแน่วแน่ที่จะสู้ต่อไป และเสียสละต่อไป ปีแล้วปีเล่า โดยสร้างแชมป์ขึ้นมา ปีแล้วปีเล่า นั่นคือธรรมชาติของกีฬาและการแข่งขัน ซึ่งก็เป็นธรรมชาติของสงครามทางวิญญาณที่ขับเคี่ยว ฐานที่เป็นคริสเตียนผู้ทำงานรับใช้พระองค์และผู้อื่น โดยมีภารกิจในการนำความรอดไปสู่ผู้คนที่จะรับพระองค์ไว้

ผมมั่นใจว่ามีบางครั้งในการดำเนินชีวิตเพื่อพระองค์ เมื่อคุณรู้สึกหมดเรี่ยวแรง จนถึงขั้นที่อยากล้มเลิก และนึกสงสัยว่าคุณจะไปต่ออีกวันหนึ่งได้หรือไม่ แต่คุณก็ก้าวต่อไป คุณต่อสู้อย่างหนัก คุณเสียสละ คุณสละชีวิตเพื่อผู้อื่น คุณได้เห็นผลจากแรงงานของคุณ หรือว่าคุณจะได้เห็นในวันหนึ่งข้างหน้า

แต่ผมมั่นใจว่าถ้าคุณเป็นเหมือนผม คุณบางคนคงรู้สึกราวกับว่า “พระองค์คาดหมายจากเราเช่นนี้ได้อย่างไร คล้ายกับที่พวกอียิปต์ให้ชาวอิสราเอลทำอิฐโดยไม่มีฟาง[2] พระองค์รู้ไหมว่าพระองค์ขออะไรจากเรา พระองค์รู้ไหมว่าพระองค์ผลักดันเราหนักแค่ไหน พระองค์รู้ไหมว่าเราหมดเรี่ยวแรงเพียงใด พระองค์รู้ไหมว่าเรามีขีดจำกัด พระองค์เป็นอะไรไปนะ”

เรื่องเป็นอย่างนี้ พระองค์ก็เหมือนโค้ชผู้ทุ่มเทแรงงานให้ทีมกลายเป็นแชมป์ บางครั้งพระองค์ผลักดันเราอย่างสุด ๆ เพื่อเราจะได้ไปไกลกว่าที่เราเชื่อว่าทำได้ จนมีชัยชนะ เหมือนโค้ชในภาพยนตร์ พระองค์กำลังพยายามสร้างแชมป์ คือ พวกเราแต่ละคนโดยส่วนตัว และผู้มีความเชื่อในพระองค์โดยรวม

ผมแน่ใจว่าพวกเราส่วนใหญ่รู้สึกเหมือนสมาชิกทีมนักกีฬาในภาพยนตร์ ไม่คราวใดก็คราวหนึ่ง เรานึกโมโหโค้ช เราไม่เชื่อว่าพระองค์คาดหมายจากเรามากเหลือเกิน บางทีเราก็โอดครวญ ผมแน่ใจว่าเราทุกคนเคยรู้สึกอยากจะล้มเลิก ไม่คราวใดก็คราวหนึ่ง

แต่ค่าแลกเปลี่ยนของชัยชนะ ค่าแลกเปลี่ยนของความคืบหน้า ค่าแลกเปลี่ยนของการเป็นแชมป์ คือการเสียสละ การทำงานหนัก การอุทิศตน ความเชื่อฟัง ความพากเพียร และศรัทธา เรามีโค้ช คือ พระเยซู ผู้ที่เราควรจะขอบคุณที่ฝึกฝนเราให้มีคุณสมบัติเช่นนี้

ไม่มีใครพิชิตชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ โดยที่ไม่ต้องเสียค่าแลกเปลี่ยน ไม่มีศึกใดที่พิชิตมาได้ โดยที่ไม่ต้องทุ่มเททุกสิ่งให้กับการสู้ศึก ไม่มีการแข่งขันใดที่พิชิตมาได้ โดยไม่ต้องฝึกซ้อมอย่างหนักหน่วง หลายเดือนหรือหลายปี ชัยชนะมีค่าแลกเปลี่ยน! บางครั้งก็ต้องแลกเปลี่ยนกับทุกสิ่งทุกอย่าง ชัยชนะคือสุดยอดของการเสียสละ งานหนัก การอุทิศตน การเชื่อฟัง ความพากเพียร และศรัทธา

เมื่อคุณไปสวรรค์ คุณจะได้ยินว่า “ดีแล้ว เจ้าเป็นผู้รับใช้ที่ดีและสัตย์ซื่อ! ขอให้ร่วมยินดีกับนายเถิด” คุณจะได้ยินแชมป์จากหลายศตวรรษที่ผ่านมา ร้องเชียร์ชื่อคุณ เมื่อคุณก้าวเข้าสู่หอเกียรติคุณในสวรรค์

นี่คือสงครามที่ควรค่ากับการต่อสู้ นี่คือสงครามที่ควรค่ากับการมอบทุกสิ่งให้ นี่คือสงครามที่ควรค่ากับการสละชีวิตให้ นี่คือสงครามปลดปล่อยจิตใจและดวงวิญญาณของผู้ที่หลงทาง นี่คือสงครามเพื่อปลดปล่อยเชลยให้เป็นอิสระ เป็นสงครามในการทำตามความปรารถนาของพระเจ้า เพื่อเข้าถึงชาวโลกด้วยความจริงและความรักของพระองค์

สงครามนี้ไม่ได้เป็นแง่ลบ ข้อเท็จจริงที่ว่าเราจะต้องต่อสู้อย่างหนัก ไม่ใช่แง่ลบ สงครามทางวิญญาณที่เราขับเคี่ยวนั้นเป็นแง่บวก เพราะหมายถึงการได้รับชัยชนะ ไม่เฉพาะสำหรับตัวเราเอง หรือสำหรับคนอันเป็นที่รักของเรา แต่สำหรับชาวโลก สำหรับอาณาจักรของพระเจ้าบนโลก สำหรับอนาคตของมนุษยชาติ

เราชื่นชอบข้อเท็จจริงที่ว่าสงครามจะช่วยให้เราก่อความเสียหายและทำลายล้างอาณาจักรของจอมปีศาจ เราชื่นชอบข้อเท็จจริงที่ว่าเราช่วงชิงดวงวิญญาณมาจากเงื้อมมือของมัน เราชื่นชอบข้อเท็จจริงที่ว่าจากการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลก เราก็ปูทางให้พระองค์กลับมา เราชื่นชอบข้อเท็จจริงที่ว่าเราแสดงให้พญามารเห็นได้ว่าเราไม่กลัวมัน เราชื่นชอบข้อเท็จจริงที่ว่าเราจะชนะ!

ถ้ามีแค่ทางเดียวที่จะบรรลุเป้าหมาย และเอื้อมถึงความฝันของคุณ คุณตั้งใจแน่วแน่ว่าเป้าหมายควรค่าอย่างยิ่ง คุณจึงเต็มใจก้าวไปตามทางนั้น ไม่ว่าจะเป็นยังไงก็ตาม คุณตระหนักว่าคุณมีทางเลือกว่าจะมองดูเส้นทางนั้นในแง่บวกหรือแง่ลบ เพราะถึงยังไงคุณก็ต้องไปตามเส้นทางนั้น และไม่มีทางอื่น แล้วทำไมไม่มองดูในแง่บวกล่ะ ทำไมไม่ตัดสินใจชื่นชม และทำให้เต็มที่ โดยเพลิดเพลินกับการเดินทางทุกชั่วขณะ แทนที่จะลากเท้าไปเรื่อย ๆ โดยย่างก้าวไปเหมือนหุ่นยนตร์ ขอให้ย่างก้าวด้วยความตั้งใจแน่วแน่ และมีศรัทธาแรงกล้า! ขอให้เลือกทำเช่นนั้น เพราะเมื่อทำเช่นนั้น คุณจะมีทรรศนะที่จำเป็น เพื่อช่วยนำทางคนอื่นไปสู่ชัยชนะ

เราต้องจับจุดให้ได้เช่นนี้ ในทรรศนะที่มีต่อเรื่องทุกข์ร้อนใจและบททดสอบที่เราประสบ รวมทั้งข้อเท็จจริงที่ว่ามีสงครามทางวิญญาณรออยู่ข้างหน้าอีกหลายปี เพราะการต่อสู้เพื่อดวงวิญญาณมนุษย์จะดำเนินต่อไป จนกว่าพระองค์จะกลับมา การที่พระองค์มารับเราไป จะเป็นสุดยอดของชัยชนะในสงครามบนโลกนี้ จะน่าตื่นเต้นจริง ๆ การจะไปถึงที่หมายนั้นได้ เราก็ต้อง “ต่อสู้ให้สุดใจด้วยศรัทธา”[3] จะเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดและยาวนาน ทว่าเป็นการต่อสู้ที่น่าตื่นเต้น เพราะจะพิชิตชัยชนะที่น่าตื่นเต้น

ในสงครามการต่อต้านซาตาน เพื่อช่วงชิงดวงวิญญาณของชาวโลก เรารู้ว่ามีหลักประกันที่จะได้รับชัยชนะ แต่เราก็รู้ด้วยว่าต้องอาศัยเวลา กว่าจะพิชิตชัยชนะได้ และชัยชนะมีค่าแลกเปลี่ยน ดังนั้นเราต้องรู้จักเห็นคุณค่า หรืออย่างน้อยก็มองดูในแง่บวกอย่างมาก เกี่ยวกับทุกสิ่งที่จำเป็น เพื่อพิชิตชัยชนะ และค่าแลกเปลี่ยนทุกอย่างตามทาง

ขอให้อ้าแขนรับค่าแลกเปลี่ยน อ้าแขนรับค่าแลกเปลี่ยนเพื่อชัยชนะ ปีติยินดีที่คุณอ่อนกำลัง[4] นี่ทำให้ชัยชนะคุ้มค่ายิ่งขึ้น และหวานชื่นยิ่งขึ้น การที่ต้องทนฝึกซ้อม เพื่อจะได้วิ่งแข่ง และสู้สุดใจด้วยศรัทธา เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ เพราะช่วยให้บรรลุผล เพราะชัยชนะที่คุณพิชิตมาได้

พระองค์มอบพลังให้เราสำหรับทุกสถานการณ์ที่เราประสบ เราเพียงแต่เต็มใจมุ่งหน้าไป โดยไม่ล้มเลิก ไม่ว่าเราจะรู้สึกอย่างไร เราต้องพึ่งพาพระองค์ และกวัดแกว่งพลังอำนาจของพระองค์ เราต้องพักพิงในพระองค์ และสู้ต่อไป

ทำไมเราถึงเต็มใจสู้จนสุดใจ เราเต็มใจทำเช่นนี้ เพราะความรักของพระคริสต์ครองใจเรา เพราะไม่มีความรักใดในทั่วโลกยิ่งใหญ่กว่าการสละชีวิตเพื่อพระองค์ และเพื่อผู้อื่น[5] นั่นคืองานที่เราได้รับมอบหมายและภารกิจของเรา เรามั่นใจได้ว่าเมื่อเราสละชีวิตของเรา เมื่อเราเต็มใจเสียสละในการทำงานรับใช้พระองค์ พระองค์จะมอบชีวิตให้เราในทางวิญญาณ และมอบสิ่งที่จำเป็น เพื่อเราจะได้พากเพียรต่อไป สู้ต่อไป และมุ่งหน้าต่อไป

เรารู้ว่าพระองค์ไม่เคยขออะไรจากเรา โดยที่พระองค์ไม่มอบความปรานีให้แก่เรา[6] นั่นไม่ได้หมายถึงความปรานีที่ช่วยให้ผ่านพ้นไปแทบจะไม่ไหว ทว่าเป็นความปรานีในการทะยานขึ้นไป มีชัยชนะ และเป็นแชมป์ ดังนั้นเรารู้ว่าเราจะมีพละกำลัง พลังอำนาจ ศรัทธา และความปรานี เทียบเท่ากับการงาน ถึงแม้ว่าการสู้ศึกที่เราประสบในชีวิตจะยากเย็น และภาระจะหนักหนา พระองค์จะไม่มีวันให้ยากเย็นหรือหนักหนาเกินกว่าที่เราจะรับไหว

บางครั้งเราคงรู้สึกว่าเราไม่อาจทำบางสิ่งบางอย่าง หรือรู้สึกว่านั่นยากเกินไป แต่อันที่จริงแล้ว เมื่อเราหมายพึ่งพระองค์ และพบว่าพระองค์ประสงค์ให้เรามุ่งหน้าไป เราก็พบว่าเรามีพละกำลัง และสามารถทำตามที่พระองค์ขอได้ เราเพียงแต่เข้าถึงพระเยซูให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และเข้าถึงพระวิญญาณให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพื่อเราจะได้ขอพละกำลังและเรี่ยวแรงจากแหล่งพลังซึ่งไม่มีวันสิ้นสุด คือแหล่งที่ประกอบด้วยพลังความตั้งใจและความแน่วแน่ที่จะต่อสู้จนได้รับชัยชนะ

จัดพิมพ์ครั้งแรก พฤศจิกายน ค.ศ. 2008 ปรับปรุงแก้ไขและจัดพิมพ์ใหม่ พฤศจิกายน ค.ศ. 2013


[1] พระคริสธรรมคัมภีร์

[2] อพยพ 5:12-18

[3] 1 ทิโมธี 6:12

[4] 2 โครินธ์ 11:23-30

[5] 2 โครินธ์ 5:14-15; ยอห์น 15:13

[6] 2 โครินธ์ 12:9-10

Copyright © 2024 The Family International