เมื่อจากกัน ผู้คนรู้สึกเช่นไร

มีนาคม 19, 2013

บทเรียบเรียง

เมื่อจากกัน ผู้คนรู้สึก...

- มีพลังหรือหมดเรี่ยวแรง
- มีกำลังใจหรือท้อแท้
- มีแรงดลใจที่จะรับมือกับความท้าทายต่อไป หรืออยากจะล้มเลิก

เมื่อจากกัน ผู้คนรู้สึกเช่นไร — ไมเคิล ไฮแอต[1]

*

ขอป่าวประกาศถึงพระองค์ทุกแห่งหน
เติมจิตเปี่ยมล้นด้วยชีวิตและวิญญาณ
ครอบครองควบคุมข้าพระองค์ท่าน
คนที่พบพานเห็นแสงส่องจากเบื้องบน

โปรดสถิตในใจข้าเป็นเนืองนิจ
ทุกดวงจิตข้าสัมผัสก่อเกิดผล
ด้วยรู้ซึ้งถึงรักท่านมีท่วมท้น
แก่ทุกคนผ่านตัวข้าเป็นสื่อนำ! 

ความรักท่านฉายแสงจากใจข้า
ส่องทางพาผู้อื่นเห็นพลังมาจากท่าน
หาใช่จากตัวข้านี้ที่แบ่งปัน
แสงสวรรค์สะท้อนออกจากใจ 

ขอสรรเสริญท่านด้วยการส่องสว่าง
เป็นแบบอย่างใช่เพียงแต่กล่าวไข
ความกรุณาเป็นแรงชักจูงนำทางไป
ประจักษ์ได้ว่ารักท่านสุดชีวิตข้านี้เอย
อาเมน
จอห์น เฮนรี คาร์ดินัล นิวแมน

*

ฉันเรียนรู้ว่าผู้คนจะหลงลืมสิ่งที่เราพูด ผู้คนจะหลงลืมสิ่งที่เราทำ แต่ผู้คนไม่มีวันลืมว่าเราทำให้เขารู้สึกเช่นไร — มายา แอนเจลู

*

ของขวัญยิ่งใหญ่ที่สุดที่เรามอบให้กันและกันได้ ก็คือ การให้ความสนใจว่าอีกฝ่ายมีตัวตน — ซู อาร์ชเลย์ อีบอฟ

*

มีสามสิ่งที่สำคัญในชีวิตคนเรา สิ่งแรกคือการมีน้ำใจ สิ่งที่สองคือมีน้ำใจ และสิ่งที่สามคือมีน้ำใจ — เฮนรี เจมส์

*

บ่อยครั้งความกรุณาเล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้ม อากัปกิริยา คำชมเชย หรือความเห็นชอบ จะช่วยให้เรามีวันที่สดใส และอาจถึงกับเปลี่ยนชีวิตได้ด้วย — ลินดา แคปแลน เธเลอร์ และ โรบิน โควา[2]

*

ถ้อยจากใจคำกรุณาไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง ไม่เคยทำให้ลิ้นหรือริมฝีปากเป็นแผล ทว่าช่วยให้คนอื่นอารมณ์ดี นอกจากนี้ยังตราตรึงอยู่ในใจเพื่อนมนุษย์ และเป็นภาพลักษณ์ที่งดงาม — เบลส พาสคาล

*

เราทุกคนต่างก็รู้สึกขาดความมั่นใจ นับตั้งแต่ภารโรงผู้หูหนวก เรื่อยไปจนถึงโค้ชฟุตบอลสุดแกร่ง บ่อยครั้งคนที่มีภาพลักษณ์ความสำเร็จและความมั่นใจสูงเท่าไร ก็ต้องการให้ผู้อื่นยอมรับนับถือมากขึ้นเท่านั้น ลองมองลึกอีกสักหน่อย คุณจะพบว่าชายหญิงแต่ละคน ไม่ว่าจะงดงามหรือเป็นที่ยกย่องเพียงใด ในส่วนลึกมีความปรารถนาที่จะรู้ว่าเธองดงามหรือควรค่า หรืออยากที่จะได้ยินว่าเขารูปหล่อหรือมีความสามารถ

แน่นอนว่าความจำเป็นนี้กำหนดได้ บ่อยครั้งก็เป็นนั้น การเสแสร้งตั้งใจฟังอาจเป็นดุจกริชของผู้ลอบสังหารในมือคนทะเยอทะยานที่ไต่เต้าบันไดทางสังคม นักล่าเซ็กส์ และคนกำมะลอประเภทอื่นๆ ส่วนความสนใจจากจริงใจก็แตกต่างไปลิบลับ นั่นถ่ายทอดถึงความเคารพ ความห่วงใย และค่านิยมที่แท้จริง ยิ่งกว่าการตัดสินใจที่จะสื่อความใดๆ เมื่อคนเราได้รับความสนใจอย่างเต็มที่จากอีกฝ่ายหนึ่ง ทันใดนั้นเขามีความสำคัญขึ้นมา เขามีคุณค่า ชั่วขณะนั้นเขารู้สึกจริงๆ ว่าเขามีตัวตน

นี่เองผู้คนจึงตอบรับต่อการเอาใจใส่ ราวกับมนต์ขลังก็แทบจะว่าได้ เป็นจุมพิตที่แปลงร่างกบเป็นเจ้าชายเจ้าหญิง โดยการเปลี่ยนพฤติกรรม เปิดใจ และดลบันดาลให้เกิดความจงรักภักดี

พวกเราส่วนใหญ่นึกว่าตัวเองเป็นผู้ฟังที่ดี ลองถามตัวเองว่าคนที่พูดคุยกับคุณ รู้สึกว่าคุณตั้งใจฟังเขาจริงๆ เขาจึงอยากเล่าความในใจให้คุณฟัง ใช่ไหม

ขอให้ระลึกว่า คุณมีพรสวรรค์ซึ่งเป็นที่ต้องการที่สุด คือการเอาใจใส่ผู้อื่น หลายคนไขว่คว้าให้ได้มา แม้แต่ผู้ที่มีความเชื่อมั่นและรู้สึกมั่นคง นี่เป็นพรที่สูงค่า — เจดด์ เมดิฟายด์ และฟริค ล็อคเคสโม[3]

*

ทุกคนกระหายคำชมเชย และหิวโหยต่อการเห็นคุณค่าอย่างซื่อตรง เราทุกคนจำเป็นต้องได้รับกำลังใจจากผู้อื่น ทว่าบ่อยครั้งพวกเราส่วนใหญ่ละเลยที่จะบ่งบอกคำชมเชยหรือคำปลอบโยนต่อคนรอบข้าง

“สิ่งใดที่จริง สิ่งใดที่น่านับถือ สิ่งใดที่ยุติธรรม สิ่งใดที่บริสุทธิ์ สิ่งใดที่น่ารัก สิ่งใดที่น่าฟัง ถ้ามีสิ่งใดที่ล้ำเลิศ สิ่งใดที่ควรแก่การสรรเสริญ ขอจงใคร่ครวญสิ่งเหล่านี้”[4] เราต้องหัดนำมาปรับใช้กับผู้คนรอบข้าง และพยายามเตือนใจตัวเองอยู่เสมอให้นึกถึงและชมเชยคุณสมบัติที่ดี และสิ่งที่ดีงามในตัวผู้อื่น — มาเรีย ฟอนเทน[5]

*

พวกเราส่วนใหญ่ไม่ได้เจตนาที่จะไม่คำนึงถึงผู้อื่น เราเพียงแต่ง่วนอยู่กับการเป็นดาราในภาพยนตร์ของเราเอง เราจึงลืมไปว่าคนอื่นก็เป็นดาราในภาพยนตร์ของเขา นี่เองจึงสำคัญที่สุดที่จะเล็งเห็นตนเองเหมือนที่คนอื่นเล็งเห็น โดยเล่นเป็นตัวประกอบในภาพยนตร์ของเขา ลองนึกถึงผู้คนในชีวิตคุณ และถามตัวเองว่าคุณจะเล่นบทบาทอะไรในภาพยนตร์ของเขา คุณเป็นบุตรสาวที่น่ารักน่าทะนุถนอม หรือมีใจวอกแวก และหายหน้าหายตาไป คุณเป็นแฟนหนุ่มที่อ่อนหวานและคอยเกื้อหนุน หรือเป็นคนที่เรียกร้องความสนใจและเห็นแก่ตัว คุณเป็นคนที่ช่วยแก้ปัญหาในออฟฟิศ หรือเป็นนางเอกเจ้าน้ำตา ขอเขียนห้าวิธีที่คุณจะ “รับบท” ผู้ที่มีความเห็นอกเห็นใจมากกว่านี้ ในความสัมพันธ์แต่ละราย — ลินดา แคปแลน เธเลอร์ และโรบิน โควัล[6]

*

วัตถุประสงค์ในชีวิตไม่ใช่เพื่อเอาชนะ วัตถุประสงค์ในชีวิตคือเติบโตและแบ่งปัน เมื่อนึกย้อนหลังถึงทุกสิ่งที่ได้ทำในชีวิต คุณจะพึงพอใจกับความเพลิดเพลินที่คุณนำไปสู่ชีวิตผู้อื่น ยิ่งกว่าตอนที่คุณล้ำหน้าและชนะเขา — รับบี ฮาโรล์ด คุชเนอร์

*

มีผู้คนเดินผ่านหน้าต่างชีวิตคุณทุกวัน ความรักของคุณพบหนทางช่วยเหลือเขาไหม — เดวิด บรานท์ เบิร์ก[7]

*

เราไม่มีเอกลักษณ์ ไม่มีตัวตน ไม่มีความหมาย ไร้เวลา ไร้ขอบเขต ขาดความรู้สึก และขาดประสิทธิผลโดยสิ้นเชิง จนกระทั่งมีคนรักเรา

แล้วใครคนหนึ่งก้าวเข้ามาในชีวิต โลกเริ่มต้น ฉันเริ่มต้น

ฉันตระหนักว่าฉันไม่ใช่ส่วนหนึ่งในจินตนาการของตัวเอง เมื่อฉันเห็นประกายในดวงตาคนอื่น เมื่อนั้นแหละฉันจึงรู้ว่าฉันมีไฟร้อนแรง เมื่อฉันเห็นพลังระเบิดขึ้นในชีวิตผู้อื่น เมื่อนั้นแหละฉันจึงเห็นพลังของตัวเอง

เมื่อนั้นแหละฉันจึงบอกได้ว่า “เป็นไง! ฉันเป็นไงล่ะ!”

บ่อยครั้งเราสร้างความดี คุณสมบัติ และความสามารถพิเศษ เราสร้างความเป็นตัวเราเอง หมุนไปเวียนมา และมองลอดออกมาเป็นครั้งคราว โดยที่ค่อนข้างจะสับสนและหวาดหวั่น เพราะไม่แน่ใจว่าทำอะไรอยู่ เรามองไม่เห็นภาพสะท้อนของเราเองในตัวคนอื่น

แล้วเปลือกนอกเกิดรอยร้าว มีใครแอบมองเข้ามา และทักทายว่า “สวัสดี” แล้วทุกอย่างก็กลายเป็นจริง คุณพบว่ามีคนอื่นด้วย

ทันใดนั้นเราออกมาจากเปลือกนอก เราเล็งเห็นและรู้สึกถึงพลังที่มีอยู่ เราเฝ้าดูแรงชักจูง และมองเห็นตัวเองจากภายนอก ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ

แล้วคุณทำอะไรล่ะ คุณหัวเราะ ร้องไห้ ร้องเพลง หรือจับมือทักทายตัวเอง

คุณชื่นชมกับเหตุการณ์ที่แสนสุขนี้ หรือเพียงแต่ส่ายศีรษะเดินหนีไป

คุณทำทั้งหมดที่กล่าวมานี้ และอะไรอีกมากมาย จนคุณนึกขึ้นได้ว่า นี่เองพระเยซูถึงได้เป็นพี่ชาย และองค์พระผู้เป็นเจ้า! เพราะพระองค์รักฉัน

แค่ฉันนี่เอง

แค่ตัวตนของฉัน หรือแม้แต่ตัวละคร ซึ่งไม่ใช่ตัวจริงของฉัน

แต่เมื่อพระองค์มองลอดเข้ามา และทักทายว่า “สวัสดี”

เมื่อพระองค์ตรวจสอบ “ตัวตนของเรา” โดยพิจารณาอย่างจริงจัง และบอกว่า “เรารักเจ้า”

แล้วชีวิตฉันก็มีตัวตนขึ้นมาจริงๆ

ฉันมีเวลา

มีขอบเขต

ฉันมีชีวิต (หรือเรียกได้ว่ากระโดดโลดเต้น)

นี่เองพระเจ้าจึงกล่าวว่า “เจ้าจะเป็นคนของเรา เป็นเจ้าสาวของเรา เป็นสวนองุ่นของเรา เป็นแก้วตาของเรา”

เมื่อพระองค์รักเรา เราเริ่มมีตัวตน เป็นสิ่งสร้างสรรค์ใหม่ เป็นบุคคล ไม่ใช่สิ่งของ

ในพระกิตติคุณกล่าวว่า “คุณควรจะเป็นเหมือนพี่ชายคุณ คือพระเยซู” ถ้าเช่นนั้น

ออกไปมอบความรัก

ออกไปสร้างสรรค์ใครสักคน

ช่วยให้ใครสักคนมีชีวิตชีวา

ให้เขาเห็นตัวตนของเขาในคุณ — ซิสเตอร์ โรบิน สแตรทตัน[8]

*

พระเจ้าคือดวงอาทิตย์ของเรา เราคือดวงจันทร์ของพระองค์ เราเพียงแต่สะท้อนแสงสว่างของพระองค์ เราควรจะสะท้อนแสงของพระองค์มากที่สุดเมื่อใด ดวงจันทร์ส่องสว่างที่สุดเมื่อใด ตอนกลางคืน เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า เมื่อโลกคืบคลานสู่ความมืดทางวิญญาณมากขึ้นทุกที เราก็ต้องส่องแสงต่อไป และส่องโลกให้สว่างไสวด้วยแสงสะท้อนจากพระองค์

นอกจากนี้เราก็เป็นเหมือนแสงอาทิตย์ เราแต่ละคนที่รับพระเยซูไว้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นเหมือนแสงอาทิตย์ ลำแสงเล็กๆ ที่มาจากพระองค์ เราแต่ละคนกลายเป็นส่วนหนึ่งในแสงสว่างของพระองค์ และพลังอำนาจของพระองค์ ในทางวิญญาณ

พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าคือความรักด้วย[9] ความรักคือพลังและแสงสว่างของพระเจ้า ดังนั้นเมื่อคุณมอบความรักของพระเจ้าให้แก่ผู้คน คุณก็ให้เขาเห็นแสงสว่างของพระองค์ — เดวิด บรานท์ เบิร์ก[10]

*

ถ้าคุณจะฉายแสงสว่างของพระองค์ไปยังผู้คน พระองค์จะทำส่วนที่เหลือ พระองค์จะบันดาลให้บรรลุผลตามวัตถุประสงค์ที่พระองค์วางไว้ในชีวิตและความคิดจิตใจเขา — เดวิด บรานท์ เบิร์ก[11]

จัดพิมพ์บนไซต์จุดยึดเหนี่ยว มีนาคม ค.ศ.2013



[1] http://michaelhyatt.com/how-are-people-left.html

[2] หนังสือเรื่อง The Power of Nice (พลังน้ำใจ) (สำนักพิมพ์นิวยอร์ก: ดับเบิลเดย์ ค.ศ. 2006)

[3] หนังสือเรื่อง The Revolutionary Communicator (Relevant Books ค.ศ. 2004)

[4] ฟิลิปปี 4:8

[5] หนังสือเรื่อง Love’s Many Faces (โดย Aurora Production ค.ศ. 2010)

[6] หนังสือเรื่อง The Power of Nice (สำนักพิมพ์ New York: Doubleday ค.ศ. 2006)

[7] หนังสือเรื่อง Ambassadors of Love (โดย Aurora Production ค.ศ. 2007)

[8] เบรนแนน แมนนิง ในหนังสือเรื่อง Souvenirs of Solitude (สำนักพิมพ์ NavPress ค.ศ. 2009)

[9] 1 ยอห์น 4:8

[10]หนังสือเรื่อง More Like Jesus (โดย Aurora Production ค.ศ. 2001)

[11] หนังสือเรื่อง Ambassadors of Love (โดย Aurora Production ค.ศ. 2007)

Copyright © 2024 The Family International